Page 263 - พระอาจารย์เทศน์เนื่องในโอกาสวันสำคัญทางพุทธศาสนา
P. 263

และไม่ต้องไปบังคับให้เขาเป็น หน้าที่ของผู้ปฏิบัติคือศึกษาธรรมะ เรา ศกึ ษาธรรมะ พจิ ารณาถงึ สจั ธรรมทเี่ กดิ ขนึ้ ไมต่ อ้ งบงั คบั แคใ่ สใ่ จ รใู้ หช้ ดั ตงั้ใจที่จะร้ทูจี่ะดูถึงการเปลี่ยนแปลงพร้อมกับสังเกตไปทุกๆขณะวา่จติ ที่ทาหน้าที่รู้กับลมหายใจเป็นส่วนเดียวกันหรือคนละส่วน
ถ้าใครกาหนดพองยุบ ก็ให้สังเกตไปว่าอาการพองยุบกับจิตที่ทา หน้าที่รู้ เขาเป็นส่วนเดียวกันหรือคนละส่วนกัน จากนั้นก็สังเกตต่อว่า จิต ที่ทาหน้าที่รู้กับตัว เป็นส่วนเดียวกันหรือคนละส่วนกัน จะให้ดีก็คืออย่าง ที่บอกเมื่อกี้ ยกจิตขึ้นสู่ความว่าง แยกจิตออกมาข้างหน้าในที่ว่าง ๆ ทา จติ ใหก้ วา้ งขนึ้ ถา้ ทา แบบนนั้ ไดก้ จ็ ะทา ใหเ้ ราเหน็ ชดั ถงึ สภาวธรรมทเี่ กดิ ขนึ้ การเห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริง ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสถึงความ เป็นคนละส่วนของรูปนาม จะทาให้จิตคลายจากอุปาทาน ที่พูดเสมอว่า เมอื่ ไหรก่ ต็ ามทเี่ หน็ ถงึ ความเปน็ คนละสว่ นระหวา่ งกายกบั จติ โยคกี จ็ ะเหน็ ถึงความเป็นอนัตตา ความไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่มีตัวตน มีแต่รูปกับ นาม มีแต่กายกับใจ
ถ้าใครทาได้อย่างนี้ ก็จะเห็นทันทีว่าความทุกข์ที่มีอยู่นั้นคลายไป ดับไป ว่างไป จิตใจเปลี่ยนเป็นความโล่ง ความเบา ความโปร่งมากขึ้น ถ้า สงั เกตทจี่ ติ ตอ่ ไป ทา จติ ทโี่ ปรง่ ทเี่ บาแลว้ ใหก้ วา้ งออกไป จะไดเ้ หน็ ศกั ยภาพ ของจิตของตนเองว่า จิตที่ว่างเบา จิตที่ไม่มีตัวตน จิตที่ไม่มีเรานั้น มี อานภุ าพมากนอ้ ยแคไ่ หน ทา อยา่ งไรจติ ถงึ จะไมท่ กุ ขก์ บั อารมณท์ เี่ กดิ ขนึ้ ? ที่เราพิจารณาให้เห็นชัดตามความเป็นจริงที่เรียกว่า “สัมมาทิฏฐิ” แล้วการ เหน็ ชอบ การเหน็ ทถี่ กู ตอ้ งนนั้ เหน็ อะไร ? ในเมอื่ เราเหน็ ความจรงิ ถงึ ความ เป็นอนัตตา ถามว่า เป็นความเห็นที่ถูกต้องไหม ? นั่นเป็นความเห็นที่ ถูกต้อง ตรง และรู้สึกได้ทันที
259


































































































   261   262   263   264   265