Page 290 - พระอาจารย์เทศน์เนื่องในโอกาสวันสำคัญทางพุทธศาสนา
P. 290

286
อย่างที่เราศึกษาว่า รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณเป็นที่ตั้ง แหง่ อปุ าทาน ไมใ่ ชข่ องเรา เมอื่ เกดิ ขนึ้ มาแลว้ รวมกนั เปน็ รปู รา่ งเปน็ คนเปน็ เราเปน็ เขาขนึ้ มา เพราะนคี่ อื ธรรมชาตทิ เี่ ปน็ ไปตามเหตตุ ามปจั จยั พระพทุ ธ องคท์ รงตรสั ใหผ้ สู้ นใจในธรรมนนั้ “แยก” พจิ ารณาเหน็ ตามความเปน็ จรงิ วา่ รปู นามทเี่ ปน็ อนั เดยี วกนั อยนู่ ี้ จรงิ ๆ แลว้ แตล่ ะอยา่ งแยกสว่ นกนั อยา่ ง ชดั เจน รปู กค็ อื รปู เวทนากค็ อื เวทนา ทา หนา้ ทขี่ องตนอยา่ งชดั เจน สญั ญา ก็ทาหน้าที่ของตน สังขารก็ทาหน้าที่ปรุงแต่ง ทาหน้าที่ของตนอย่างชัดเจน วิญญาณก็ทาหน้าที่รับรู้อารมณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งดีหรือไม่ดีก็ตาม ว ญิ ญ า ณ ข นั ธ ก์ ท็ า ห น า้ ท รี ่ บั ร ท้ ู งั ้ ห ม ด โ ด ย ไ ม เ่ ล อื ก เ ข า ท า ห น า้ ท ขี ่ อ ง ต น อ ย า่ ง ซื่อตรง แต่ก็เป็นคนละส่วนกับรูป เวทนา สัญญา สังขาร
เพราะฉะนั้น การที่เจริญกรรมฐานแล้วพิจารณาถึงความเป็นจริง ศึกษาธรรมะคาสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้ได้เห็น ประจักษ์แจ้งด้วยตาปัญญาของตนเองว่า รูปนามขันธ์ ๕ ที่เคยหลงว่า เป็นตัวเราเป็นของเรานั้น จริง ๆ แล้วก็เป็นสภาวธรรมอย่างหนึ่งที่อาศัย การประชุมกันเกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัย เป็นไปตามเหตุปัจจัย และเป็นไป ตามกรรม เพราะพอเกิดมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจที่เป็นบัญญัติตรงนี้ ขนึ้ มา ดา รงอยไู่ ดด้ ว้ ยกรรมคอื การกระทา ตา่ ง ๆ เรมิ่ จากการรจู้ กั รบั อาหาร เข้าไปเพื่อหล่อเลี้ยงบารุงธาตุทั้ง ๔ ให้มีกาลังให้มีความเจริญเติบโต ตอ่ ไป มกี ารทา กรรมทางกายทางวาจาทางใจเกดิ ขนึ้ แลว้ กไ็ ปยดึ เอาวา่ เปน็ ตัวเราของเรา
เพราะฉะนั้น ธรรมะที่ปฏิบัติที่เราเอาอารมณ์ทั้ง ๔ อย่างมาเป็น อารมณก์ รรมฐาน คอื การกา หนดรกู้ าย เวทนา จติ ธรรม เพอื่ ทจี่ ะละความ หลงผดิ ความเขา้ ใจผดิ คดิ วา่ เปน็ ตวั เราของเรา เพอื่ ทจี่ ะละการเขา้ ไปยดึ ตดิ


































































































   288   289   290   291   292