Page 337 - ธรรมปฏิบัติ 1
P. 337
319
แล้วอยากได้อิทธิฤทธิ์ อยากรู้อดีต อยากรู้อนาคต ปัจจุบันยังตามไม่ทัน เลย ปัจจุบันของตัวเองยังตามไม่ทันเลย อยากรู้อดีต อนาคตแล้ว ไม่ต้อง ห่วง เรารู้ปัจจุบันมาก ๆ จิตเรายิ่งผ่องใส ใจยิ่งเบิกบาน ยิ่งละเอียดอ่อนมาก เท่าไหร่ ใครที่สร้างมา สร้างบารมีมา มีปัญญาญาณเหล่านั้นเกิดขึ้นเขาเรียก อภิญญา อภิญญาจิต จิตที่รู้พิเศษ รู้ต่างออกไป ถ้าใครสร้างมา พอจิตเรา บริสุทธิ์มากขึ้น เขาก็จะเกิดเอง ก็จะปรากฏเอง ไม่ต้องห่วงเลย ถ้าสร้าง มานะ ไม่ต้องแสวงหามาก เดี๋ยวเขาเกิดเอง ขออย่างเดียว ทาใจของเราให้ บริสุทธิ์ ให้กิเลสลดลง เป้าหมายหลัก พระพุทธเจ้าบอกว่า สภาวะญาณต่าง ๆ อนาคตังสญาณ อตีตังสญาณ เกิดไม่ทุกคน แต่อาสวขยญาณเข้าถึงแล้ว เกิดทุกคน ปัญญาญาณที่รู้ว่าสิ้นแล้ว อาสวะสิ้นแล้ว กิเลสสิ้นแล้ว ปัญญา นั้นต้องเกิดกับทุกคนที่เข้าถึง แต่อนาคตังสญาณ อตีตังสญานนั้น ไม่เกิด กับทุกคน นั่นคือความพิเศษ ญาณ ๓ ผู้ที่บรรลุแล้วก็จะเป็นอย่างนั้น ไม่ได้ เกิดกับทุกคน
เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจนะว่า เป้าหมายของการปฏิบัติของเรา ต้องรู้ ว่าที่เราทานี่เป็นไปเพื่ออะไร เราต้องการละกิเลสก็ต้องรู้ชัด ตอนนี้กิเลส เกิดขึ้นเราดับเสีย ตอนนี้ความทุกข์เกิดขึ้น ก็ดับความทุกข์ ดับได้ถือว่า ดีแล้ว ถูกแล้ว แค่นั้นเอง พูดไปไกลเลยนะ เผื่อไว้เยอะเลย หลายปี เผื่อไว้ เยอะๆหลายปีแลว้เราก็ตามพิสูจน์กันนะลองดูบางคนใช้เวลาไมน่านหรอก ไม่กี่ปี ไม่กี่ปีก็สามารถไปพิสูจน์ได้ หรือสัมผัสได้
อย่างเช่นที่บอกว่าเราปฏิบัติกันมาเนี่ย อยากทาจิตให้ว่าง ถามว่า สวดมนต์ทาไม ? อยากให้ใจสงบ อยากให้ใจว่าง ๆ จะได้สงบ ไม่วุ่นวาย มากนัก ใช้เวลาเป็นหลาย ๆ ปียังไม่สงบเลย สวดเป็นชั่วโมงยังไม่สงบ ยังไม่ ว่างเลย เพราะอะไร ? เราสวดมนต์แล้ว ใหม่ ๆ จิตก็อยู่กับคาสวด เขาเลย สงบหน่อย พอสวดจนคล่องแล้วเนี่ยจะมีปัญหา เพราะปากสวดไป ใจก็ไป อีกเรื่องหนึ่ง ปากก็ว่าไป ใจก็ไปอีกเรื่องหนึ่ง กลายเป็นว่าไม่สงบ ถ้าจิตนั้นมี