Page 8 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การยกจิตขึ้นสู่ความว่าง
P. 8
4
ถ า้ เ ร า ไ ม ถ่ า ม ต วั เ อ ง เ ร า ก ไ็ ม ร่ จ้ ู ะ ท า อ ย า่ ง ไ ร เ ร า เ ป น็ ผ ป้ ู ฏ บิ ตั ิ ก า ร เ จ ร ญิ ภ า ว น า ค อื ก า ร ท า ใ ห เ้ ก ดิ ป ญั ญ า ขึ้นมา เพราะฉะนั้น เราทาสิ่งนี้ได้ สามารถแยกจิตเรากับกายได้ แยกจิตกับความคิดได้ ก็ลองถามตัวเอง ดูสิว่า แล้วจิตกับเวทนาเราจะแยกกันได้ไหม คาว่า “แยกกัน” ไม่ใช่ไม่รับรู้ ถึงแม้จะรู้ว่ามีเวทนา ถึงแม้จะ รู้ว่ามีความปวด แต่ก็รู้ชัดด้วยว่า ความปวดกับจิตเราเป็นคนละส่วนกัน ตรงนี้เป็นส่วนสาคัญมาก ๆ นี่ แหละคือปัญญาอย่างหนึ่ง เขาเรียกว่าแยกนามกับนาม แยกเวทนากับจิต แยกแล้วประโยชน์ที่เกิดขึ้นมา เป็นอย่างไร ตรงนี้แหละโยคีจะต้องพิจารณา
เมอื่ แยกเวทนากบั จติ และเหน็ ชดั ถงึ ความเปน็ คนละสว่ น เวทนานนั้ สามารถทา ใหใ้ จเราขนุ่ มวั ไดไ้ หม หรือว่าแยกออกมาแล้ว จิตเราเกิดความสงบ เกิดความตั้งมั่น ไม่ขุ่นมัวไปกับเวทนาทางกายที่เกิดขึ้น ? นั่น แสดงว่ากิเลสไม่เกิด มีแต่เวทนาที่เกิดกับกาย ก็จะกลายเป็นว่าเวทนาก็สักแต่เวทนา ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา เขาก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยนั่นเอง เพราะฉะนั้น การที่กาหนดรู้สังเกตดูแบบนี้จึงเป็นสิ่งสาคัญ เราต้องรู้ว่า เราจะรู้อะไร เพื่ออะไร แล้วต่อไปก็ต้องสังเกตถึงความไม่เที่ยงของเวทนาเอง เหมือนกับความคิดนั่นแหละ ถา้ เขาเกดิ ขนึ้ มา เรากพ็ จิ ารณาดวู า่ เขาเกดิ แลว้ ดบั อยา่ งไร ความปวด อาการเมอื่ ย อาการชา อาการคนั ไมว่ า่ จะเป็นเวทนาแบบไหนเกิดขึ้นมาก็ตาม เราก็ต้องพิจารณาในลักษณะอย่างนี้
ทีนี้ ถ้ามีความเย็น-ร้อน-อ่อน-แข็ง-เคร่งตึงเกิดขึ้นกับร่างกายของเรา สังเกตแบบไหน ? ก็สังเกต ในลักษณะเดียวกัน รู้ถึงความเป็นคนละส่วน รู้ถึงการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของเขา เพื่ออะไร ? เพื่อ เราจะได้เห็นความจริง เห็นความจริงเมื่อไหร่ กิเลสไม่เกิด ความมีตัวตนไม่มา ปัญญาเห็นชัดถึงธรรมชาติ ที่กาลังเป็นไปอยู่ ถ้ารู้ชัดแบบนี้ ลองดูว่าสภาพจิตใจเป็นอย่างไร... ขุ่นมัว หดหู่ เศร้าหมอง หรือผ่องใส ? นั่นคือเหตุผลว่าทาไมการกาหนดรู้อยู่กับอารมณ์ปัจจุบันจึงไม่ทาให้เราเป็นทุกข์หรือทาให้ทุกข์เราหมดไป กิเลสเขาเกิดไม่ได้เมื่อเรากาหนดรู้ มีปัญญาเมื่อไหร่กิเลสก็ไม่เกิด หรือถึงกิเลสเกิด-เมื่อมีปัญญา-กิเลส ก็จะดับไป สติมา-ปัญญาเกิด-กิเลสก็ดับ เพราะฉะนั้น การที่เรารู้อยู่กับปัจจุบัน จึงต้องมีเจตนามีเป้าหมาย ชัดเจน
แล้วอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นมาก็คือ อาการของลมหายใจ อาการเต้นของหัวใจ นอกจากเวทนา นอกจากความคิด ตัวนี้ก็คือสภาวธรรมที่เกิดขึ้นมา อาการอย่างใดอย่างหนึ่งปรากฏเกิดขึ้นมาก็ตาม ขอให้ เราใสใ่ จกา หนดรดู้ วู า่ เขาเกดิ แลว้ ดบั อยา่ งไร นอกจากอาการของลมหายใจ อาการเตน้ ของหวั ใจ กจ็ ะมสี หี รอื แสงที่เกิดขึ้นข้างหน้า สี-แสงที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ข้างหน้าเรา นั่นก็คือสภาวธรรมที่กาลังปรากฏอยู่ ตรง ที่มีการเปลี่ยนแปลงก็ไม่ต่างอะไรกับความคิด รู้ว่าเขาเกิดแล้วดับอย่างไร หรือมีนิมิตต่าง ๆ เกิดขึ้นมา ก็ พิจารณารู้ว่า เขาเกิดแล้วดับอย่างไร เกิดแล้วดับอย่างไร... นั่นคืองานที่เราต้องทา
เพราะฉะนั้น โยคีหรือผู้ปฏิบัติทุกคนจึงต้องรู้ว่า ขณะนี้เรากาลังตามรู้อะไรอยู่ ตามรู้ความคิด ตามรู้เวทนา ตามรู้เสียง ตามรู้สีหรือแสงที่เกิดขึ้นข้างหน้า ว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือเกิดดับอย่างไร อะไร เกดิ ขนึ้ มา-ใหม้ สี ตติ ามกา หนดรดู้ ใู หต้ อ่ เนอื่ งจนเขาหมด อยา่ งเชน่ ความปวด/เวทนา เขาตงั้ อยปู่ ระมาณสกั ห้านาที เราก็ตามรู้จนจบทั้งห้านาที ค่อยเปลี่ยนอารมณ์ไปดูอย่างอื่น คาว่า “เปลี่ยนอารมณ์ไปดูอย่างอื่น”