Page 17 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การปรับอินทรีย์
P. 17
269
“การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่าไป” นั้นเป็นอย่างไร เมื่อไหร่ก็ตามที่มีรูปนามขันธ์ห้าอันนี้เกิดขึ้นมา มีขันธ์ห้า เราก็ละขันธ์ห้า จะลบขันธ์ใดขันธ์หนึ่งทิ้งไปไม่ได้ เขาย่อมทาหน้าที่ แต่การที่จะละอกุศล ละอวิชชา เพิ่ม ปัญญาให้เราไม่ทุกข์กับขันธ์นั้น ทาได้!
ทีนี้ พอพูดถึงเวทนาขันธ์ กาหนดรู้อาการเกิดดับได้แบบนี้ แล้วอารมณ์อื่นล่ะ ? อารมณ์อื่นก็ กาหนดแบบเดียวกัน อารมณ์อื่นหมายถึงอะไร ? อารมณ์อื่นก็คือ “ความคิด” ความคิดที่เกิดขึ้น ความคิด ที่ปรากฏเข้ามาในเวลาที่เจริญกรรมฐาน ในเวลาที่ปฏิบัติธรรม เพื่อการเดินทางไปสู่ความดับทุกข์ เพื่อเข้าสู่ ปรมัตถ์แล้ว เป้าหมายของการปฏิบัตินั้น ไม่ว่าจะคิดอะไรก็ตาม คิดดีหรือไม่ดีก็ตาม เมื่อมีความคิด ขึ้นมา มี “เจตนา” เข้าไปรู้อาการเกิดดับของความคิดเป็นหลักเป็นที่ตั้งเช่นเดียวกัน ความคิดก็สังเกต แบบเดียวกันกับเวทนา
ความแตกตา่ งของความคดิ ทเี่ กดิ ขนึ้ บางครงั้ เราปฏบิ ตั ใิ หม่ ๆ เวลามคี วามคดิ เกดิ ขนึ้ มา เรากค็ ลอ้ ย ตามความคิดไปสักระยะหนึ่ง กว่าจะรู้ตัวบางทีก็ ๓๐ นาทีไปแล้ว พอรู้ตัวว่าเพลินไปกับความคิด เริ่มใหม่! จากที่กาหนดลมหายใจอยู่ ความคิดเข้ามาตอนไหนไม่รู้ พอรู้อีกทีเพลินไปนานแล้ว นี่ก็คือรู้ความคิดอย่าง หนึ่ง แต่ต่อไปพอรู้สึกตัวว่าคิด ให้มีสติเข้าไปกาหนดรู้ความคิด พอรู้ปุ๊บเขาดับอย่างไร ? สมมติว่าใช้เวลา ห้านาทีถึงดับ ลักษณะอาการดับก็ไม่เด็ดขาด เห็นแต่ว่าความคิดเขาหยุด แล้วก็กลับมาที่ลมหายใจ โดยที่ ไม่เห็นว่าเขาหายไปก็มี อันนี้ก็คือความแตกต่างอย่างหนึ่ง
ทีนี้ พอมีความคิดใหม่ขึ้นมา ในการกาหนดเราต้องมีเจตนาที่จะรู้ว่า พอความคิดนี้ดับไป ความคิด ใหมข่ นึ้ มาปบุ๊ ใหร้ วู้ า่ พอไปรู้ “เขาดบั ตา่ งจากเดมิ อยา่ งไร” ความแตกตา่ งอกี อยา่ งหนงึ่ กค็ อื วา่ จากทเี่ คยไหล ตามความคดิ หา้ นาที ตอนนเี้ รมิ่ สนั้ ลง พอสองนาที รปู้ บ๊ึ เขากห็ ยดุ แลว้ กห็ ายไปเลย หรอื คอ่ ย ๆ จางหายไป นคี่ อื ลกั ษณะอาการดบั ของความคดิ ทตี่ า่ งไป จากทเี่ ราไมเ่ หน็ วา่ ความคดิ เขาดบั อยา่ งไร แตพ่ อใสใ่ จมากขนึ้ เริ่มเห็นว่าความคิดนั้นดับในลักษณะอย่างไร นั่นหมายถึงว่าสติเรามีกาลังมากขึ้น ไม่ใช่ว่าความคิดไม่เกิด แต่ความคิดที่เกิดขึ้นมา พอมีสติเข้าไปรู้ เริ่มทันมากขึ้น เขา “ดับเร็วขึ้น”
ต่อไปก็ “พอใจรู้ให้ทัน” พอเริ่มเกิด พอเริ่มเกิด พอเริ่มเกิด... เข้าไปรู้! คอยระวังความคิด อย่างต่อเนื่องจนความคิดนั้นดับไปหมดไป สมมติ บัลลังก์นี้มีความคิดตลอดเลย ก่อนจะหมดบัลลังก์ ความคิดหายไป พอบัลลังก์ต่อเนื่องจากนั้น จากที่นั่งแล้วมาเดินจงกรม พอเดินไปสักพักความคิดเข้ามา สิ่งที่ต้องสังเกต - ความคิดที่เกิดขึ้นมาคราวนี้ เรารู้ “เร็วกว่าเดิม” อีกไหม ? สมมติ พอเริ่มจะคิด...รู้! คิด ไปนิดหนึ่ง...รู้! คิดไปนิดหนึ่ง...รู้! นั่นหมายถึงว่าสติเราเริ่มมีกาลังมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจ หลักการตรงนี้ เราจะไม่ต้องกังวลว่า เดี๋ยวคิดอีกแล้ว เดี๋ยวคิดอีกแล้ว...
พอมีความวิตกกังวลตรงนี้ การสนใจลักษณะอาการเกิดดับของความคิดนั้นจะหายไป กลายเป็น ว่ามีตัวตนขึ้นมา มีความเป็นเราเกิดขึ้น มัวแต่กังวลว่า เดี๋ยวคิด ๆ ๆ ไม่ได้พอใจว่า คิด... ดับแล้วนะ ดับ แล้วนะ ดับเร็วกว่าเดิม ดับเร็วกว่าเดิม รู้ทันมากกว่าเดิม สมมติว่า เราเดินจงกรมอยู่แล้วมีความคิดเข้ามา ตอ่ เนอื่ งแบบนี้ ใหห้ ยดุ ยนื แลว้ กา หนดความคดิ กอ่ น พอความคดิ เรมิ่ มา รทู้ นั รทู้ นั ความคดิ ดบั พอความคดิ