Page 16 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การปรับอินทรีย์
P. 16
268
เวทนาอย่างนี้เกิดขึ้นมา แต่ถ้าเราพิจารณาตามหลักสัจธรรมตามหลักของขันธ์ห้าแล้ว ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน อิริยาบถไหน เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม เวทนาก็ย่อมเกิดขึ้นเสมอ เป็นเรื่องปกติ
อย่างเช่น เรานั่งกรรมฐานนาน ๆ อยู่ในอิริยาบถเดียวนาน ๆ บางครั้งเหตุปัจจัยเขาพร้อม เวทนาก็ เกิดขึ้น เรานั่งอยู่ในอิริยาบถเดียวไปนาน ๆ พอสติสมาธิของเราเปลี่ยนไป ปัญญาเปลี่ยนไป เวทนาไม่เกิด ขึ้นก็มี นั่งแล้วตัวว่างไปเลย นั่งเป็นชั่วโมงสองชั่วโมง ตัวหายไป จิตว่างไป เหลือแต่ความสงบ เวทนาไม่ ปรากฏเลย นั่งสองชั่วโมงยังไม่รู้สึกถึงว่ามีเวทนาก็มี นี่ก็คือเหตุปัจจัยเปลี่ยน เหตุปัจจัยคืออะไร ? กาลัง ของสติ สมาธิ ปัญญาที่เปลี่ยนไป ปัญญาเห็นว่ารูปนามนี้ว่างเปล่า ไม่มีน้าหนัก ก็เลยรู้สึกว่าเบา ๆ ว่าง ๆ เวทนาทางกายก็ไม่เกิดขึ้น อันนี้ก็คือสภาวธรรมอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น ทุก ๆ อาการ ทุก ๆ อารมณ์ที่เกิดขึ้นมา ถ้าเราพิจารณาตามหลักของสัจธรรม เป็น สภาวธรรมอยา่ งหนงึ่ ทเี่ กดิ ขนึ้ ความวติ กกงั วลในเรอื่ งทเี่ รามองไมเ่ หน็ จะลดลง เราจะรถู้ งึ วา่ จรงิ ๆ ธรรมชาติ ของขันธ์ทั้งห้าย่อมทาหน้าที่ของเขาอยู่เสมอ ถามว่า เขาจะทาหน้าที่เมื่อไหร่ เวลาไหน เขาบอกเราก่อน ไหม ? น้อยนะ บางทีส่งสัญญาณมาเราก็ไม่ได้ดู แต่ส่วนใหญ่ก็คือว่าอยู่ ๆ ก็เป็น ไม่เคยเป็นก็เป็น จริง ๆ แล้วเวทนาบางอย่างเกิดจากธาตุสี่ที่มีการเปลี่ยนแปลง ทาให้ปวดหัวตัวร้อนเป็นไข้ขึ้นมา เมื่อดิน- น้า-ลม-ไฟไม่สมดุลกัน ปัญหาทางร่างกายก็เกิดขึ้น
แต่ที่สาคัญก็คือว่า เราเป็นผู้ปฏิบัติธรรม มีความปรารถนาที่จะรู้ความจริงของรูปนามขันธ์ห้า เพื่อ ที่จะคลายจากอุปาทานของขันธ์ห้าแล้ว จึงให้พิจารณาในกฎของไตรลักษณ์ คือการเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป เปน็สาคญั ทาไมเราตอ้งสนใจอาการเกดิขนึ้-ตงั้อย-ู่ดบัไป?เพราะการรอู้าการพระไตรลกัษณน์นั้ทาใหจ้ติใจ ของเราผ่องใสขึ้น อิสระขึ้น ไม่เกาะเกี่ยว และยิ่งเห็นอาการเกิดดับชัดเจนมากเท่าไหร่ เวทนาดับ-จิตดับ เวทนาดับ-จิตดับ แล้วเห็นจิตดวงใหม่เกิดขึ้นมา ยิ่งเห็นจิตดวงใหม่ที่เกิดขึ้นมามีความใสขึ้น สะอาดขึ้น กว้างขึ้น ๆ ๆ จิตยิ่งรู้สึกอิสระหรือสบายขึ้น ถึงแม้เวทนายังปรากฏต่อเนื่องเป็นระยะอยู่ก็ตาม แต่ไม่ทุกข์ กับเวทนาแล้ว
นี่ก็คือว่า เวทนาทางกายมีอยู่แต่ความทุกข์ใจไม่ปรากฏ เพราะอะไร ? เพราะปัญญาได้เห็นความ จริงแล้วว่า เวทนาทางกายกับจิตนั้นแยกส่วนกัน เพราะฉะนั้น เวทนาทางกายก็ไม่ได้ทาให้จิตเราเป็นทุกข์ เสมอไป อีกอย่างหนึ่งที่เราพึงพิจารณา เมื่อมีเวทนาทางกายเกิดขึ้น ถึงแม้เราพิจารณาเห็นชัดว่าจิตกับกาย แยกสว่ นกนั และไมเ่ ปน็ ทกุ ขก์ บั กายแลว้ แตก่ เ็ พราะมรี า่ งกายอนั นจี้ งึ เปน็ ทอี่ าศยั แหง่ ทกุ ขเวทนา มกี ารเกดิ เมื่อไหร่ก็มีร่างกายมีรูปนามขันธ์ห้าขึ้นมา เวทนาก็ย่อมเกิดขึ้นเปน็ เรื่องปกติธรรมดา แล้วเรายังปรารถนา ที่จะเกิดต่อไปเพื่อมาเจอกับความเป็นธรรมดาแบบนี้อีกหรือไม่ ? หรือปรารถนาที่จะออกจากวัฏฏะความ เวียนว่ายตายเกิดอันนี้ ?
ออกจากวัฏสงสารแล้วดีอย่างไร ? ก็ตอนที่เราหลุดจากเวทนาไม่เกี่ยวข้องกับเวทนาแล้ว รู้สึกดี อย่างไร ? เห็นจิตกับเวทนาแยกส่วนกัน เวทนาเบียดเบียนเราไม่ได้แล้ว รู้สึกดีอย่างไร ? แล้วไม่ดีกว่าหรือ ถา้ ไมร่ สู้ กึ ถงึ เวทนานนั้ เลย หรอื ไมม่ เี วทนานนั้ ปรากฏเลย ? อนั นคี้ อื อยา่ งหนงึ่ จรงิ ๆ แลว้ คอื รธู้ รรมชาตขิ อง