Page 53 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การน้อมพลังบุญเพื่อการอธิฐานจิต
P. 53
859
ขณะที่มีจิตเป็นแบบนั้น ขณะที่มีสติรู้แบบนั้น เห็นอยู่อย่างนั้น กิเลสเกิดขึ้นได้ไหม ความทุกข์เกิด ขึ้นได้ไหม แล้วเวลาไม่ใส่ใจ หรือปล่อยผ่านไป ไม่จา ทาไม่ได้ ความทุกข์เข้ามาเพราะอะไร เพราะสติไม่ เหมือนเดิม หรือเพราะอะไร เพราะเราไม่เคยเห็น หรือเข้าไม่ถึง หรือกาลังอ่อนไป พอสภาพจิตสติเปลี่ยน ปัญญาไม่คมชัดเหมือนเดิม แล้วความทุกข์ก็เกิดขึ้นมา ถามว่าทุกข์เกิดขึ้นมา ยังทุกข์เท่าเดิมหรือน้อยกว่า เดิม อันนี้ก็พิจารณา
สภาวธรรมเหล่านี้ เราสามารถศึกษาพิจารณาได้ โดยที่ไม่ต้องมานั่งคิดอย่างเดียว เป็นการเข้าไป... เขาเรียกว่าธัมมวิจยะ การสอดส่องธรรม เข้าไปรู้ในจิตที่กาลังเป็นอยู่ สภาวธรรมที่กาลังเกิดขึ้นจริง ๆ แต่ ถ้าเราคิดด้วยตรรกะ ด้วยเหตุด้วยผลของเราก็อีกส่วนหนึ่ง บางครั้งเหตุผลของเรา เราก็...เหตุผลตามที่เรา เคยเห็น เคยได้ยินหรือเคยรับรู้มา แต่ว่าบางครั้ง สิ่งที่กาลังปรากฏเกิดขึ้นนี่นะ สิ่งที่เห็นอยู่จริง ๆ ตอนนี้ เป็นอย่างไร นี่คือจุดสาคัญที่สุด
สิ่งที่เคยเห็นมาอาจจะไม่ละเอียดเท่านี้ ขณะนี้ ณ ปัจจุบัน จิตที่เปลี่ยนไปแล้วนี่นะ ลองดูว่า จิตที่ ตา่ งไปตา่ งอยา่ งไร จติ ทสี่ งบขนึ้ ใสขนึ้ กวา่ เดมิ หรอื จติ ทกี่ วา้ งกวา่ เดมิ เปน็ อยา่ งไร ดอี ยา่ งไร จติ ทวี่ า่ งมากกวา่ เดิม ๆ แล้วเป็นอย่างไร อันนี้ คือถ้าเราปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ เราก็จะรู้ว่าถ้าจิตว่างกว่าเดิม จิตกว้างกว่า เดิม ความทุกข์เท่าเดิมหรือน้อยลง ตรงนั้นคาตอบจะเกิดขึ้นได้ง่าย คาตอบจะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ เลย ถาม อย่างไร คาตอบก็ตอบแบบซื่อ ๆ ตอบแบบตรง ๆ ก็เป็นอย่างไรก็อย่างนั้น
แต่ถ้าจะทาอย่างไร ให้จิตที่ดีอยู่แล้วดียิ่งขึ้นไปอีก ทาอย่างไร หรือทาอย่างไร จะประคองจิตที่ดีอัน นี้ให้ดูอยู่นาน ๆ หรือพัฒนาต่อไปได้ ก็มีความพอใจที่จะรู้จิตที่ดี พอใจใส่ใจในจิตที่ดีแล้วนี่แหละ สารวจ ยิ่งดู การสารวจการพิจารณาแบบนี้ ดูจิตแบบนี้ ไม่ใช่แค่เห็นเฉย ๆ ลองสังเกตดูได้เลยว่า ไม่ใช่แค่เห็น เฉย ๆ ยิ่งเห็นจิตที่ผ่องใส ยิ่งเห็นจิตยิ่งว่าง ยิ่งเห็นแล้วจิตยิ่งว่าง จิตที่ว่างแล้วยิ่งมีกาลังขึ้น จิตที่ว่างแล้ว มีกาลังขึ้น นั่นหมายถึงจิตที่ว่างก็ดีขึ้น ๆ ไปได้ด้วย ดีขึ้นไปในตัว
เพราะฉะนั้น การใส่ใจ การเข้าไปสารวจ การตั้งจิตอธิษฐานนี่นะ พอเราตั้งจิตอธิษฐาน แล้วทาตาม ที่เราตั้งจิต พิจารณากาหนดรู้ โดยที่เราไม่ได้เข้าไปปรุงแต่งหรือไปบังคับ แต่เข้าไปรู้ในสิ่งที่เขาเป็น แต่ที่ สาคัญ เข้าไปรู้ให้ชัด ให้ชัดให้เห็นและแจ่มแจ้งด้วยตัวเอง ไม่ใช่แค่...กลัว ไม่ใช่แค่คิดอย่างเดียวว่า เอ๊ะ! จะเป็นอย่างนั้นไหม จะเป็นการปรุงแต่งไหม จะกลัวว่า เราจะคิดเอาเองไหม ยิ่งกลัวยิ่งต้องเข้าไปรู้ ยิ่งกลัว ว่าจะคิดเอาเอง ยิ่งเข้าไปรู้ว่าเราคิดจริงไหม ปรุงแต่งจริงไหม ให้ไปรู้แบบนั้น
อย่ากลัวว่าอาการที่เกิดขึ้น สภาพจิตที่กาลังเป็นอยู่ ที่กาลังใสที่สงบที่สว่างอยู่นี่ เราคิดเอาเองหรือ เปล่า ถ้ากลัวเราก็ไม่ชัด ถ้ากลัวจะยิ่งปรุงแต่ง ยิ่งจะทาให้ไม่ชัดเจน ความสงสัยจะยิ่งตั้งอยู่นาน เพราะ ฉะนั้นจิตดีก็รู้ว่าดี ไม่ดีก็ให้รู้ชัดว่าไม่ดี มีกาลังก็รู้ชัด ว่ามีพลังมีกาลัง ไม่มีก็คือไม่มี ไม่มีแล้วเป็นอย่างไร อันนี้ก็ต้องรู้ชัด ทาไมพลังถึงหายไป ทาไมจิตถึงพลังสูญเสียหรือหายไป หรือว่าแค่ อ่า! สภาวะเขาเปลี่ยน พลังเขาไม่ได้หายไปไหน จิตไม่ได้ว่าพลังลดลง เพียงแต่ว่าสภาวธรรมเขาเปลี่ยนไปแค่นั้นเอง อันนี้ก็จะได้ รู้ชัด นั่นคือปัญญาอย่างหนึ่ง