Page 27 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การพิจารณาหัวข้อธรรม
P. 27
887
ในวันนี้ซึ่งเป็นวันที่พระองค์ทรงตรัสรู้ เราชาวพุทธส่วนใหญ่จะรู้ว่าสิ่งที่พระพระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น ตรัสรู้อะไร—ตรัสรู้เรื่องทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ และรู้ว่าทุกข์สิ้นแล้ว... ข้อปฏิบัติ ถึงความดับทุกข์นี่ อย่างที่พูดเมื่อกี้เรื่องศีล-สมาธิ-ปัญญา ศีล-สมาธิ-ปัญญาก็คือมรรคมีองค์แปด แต่ถ้า เราพูดถึงว่าการที่จะดับทุกข์อย่างสิ้นเชิง ที่เป็นสภาวะปรมัตถ์ เป็นอารมณ์ภายในของเราจริง ๆ เป็นเรื่อง เฉพาะตวั เปน็ ปจั จตั ตงั แลว้ นี่ ตอ้ งอาศยั การพจิ ารณาสภาวธรรมทเี่ ปน็ ธรรมะจรงิ ๆ เปน็ สจั ธรรมของทกุ ๆ บุคคลและสัตว์ทุกตัวตน ก็คือเรื่องของรูปนามขันธ์ห้า เรื่องอาการพระไตรลักษณ์
อยา่ งทบี่ อกแลว้ เมอื่ กวี้ า่ วนั วสิ าขบชู าเปน็ วนั ทพี่ ระพทุ ธองคท์ รงประสตู ิ ตรสั รู้ และปรนิ พิ พาน เปน็ วันที่แสดงถึงการเกิดขึ้น การตั้งอยู่ และการดับไป นิพพานคือการดับอย่างสิ้นเชิง เพราะฉะนั้น สภาวะที่ เกิดขึ้นนี้พระพุทธเจ้าสอนอะไร ? เรื่องกฎพระไตรลักษณ์ เรื่องทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ วิธีปฏิบัติเพื่อความ ดับทุกข์... แต่วิธีปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์นี่ ถามว่า ความทุกข์ในชีวิตของเรา เราเคยเจอไหม ? สาหรับ บางคนนั้นเรื่องราวภายนอกหรือปัญหาต่าง ๆ ที่จะมาทาให้ทุกข์ใจนั้นมีน้อย หรือไม่ค่อยเกิดขึ้น หรือมอง ข้ามไป เพราะเวลามีความทุกข์ขึ้นมา ก็จะมีเหตุปัจจัยมีบุญเก่าเข้ามาช่วย มีคนนั้นคนนี้ช่วย ความทุกข์ตั้ง อยู่แป๊บเดียวก็ผ่านไป ปัญหานั้นก็ผ่านไป...
และด้วยปัญญาของตนอีกอย่างหนึ่ง พอมีปัญหาขึ้นมาก็รู้สึกว่าทุกข์นิดหนึ่ง แล้วก็แก้ปัญหาไปได้ ผ่านทุกข์นั้นไปได้... แต่ความทุกข์ต่าง ๆ ก็สลับสับเปลี่ยนกันมาเรื่อย ๆ จนรู้สึกว่าทุกข์ก็เป็นเรื่องธรรมดา ของชีวิต ถ้าเข้าใจว่าทุกข์เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตก็ส่วนหนึ่ง แต่ถ้าไม่เข้าใจหรือไม่รู้ ก็จะรู้สึกว่าชีวิตเรา มันก็ไม่จาเป็นต้องทาอะไรมาก เพราะนี่เป็นเรื่องปกติ พอเห็นเป็นเรื่องปกติแบบนี้ มีผลอะไรตามมา ? การ หมุนเวียนเปลี่ยนไป การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะก็จะเป็นไปตามเหตุปัจจัย เขาเรียกว่าเป็นไปตามกรรม พอเห็นแบบนี้ การที่เราจะเห็นทางที่จะออกจากทุกข์นั้นก็เป็นเรื่องยาก เพราะเห็นทุกข์แล้วไม่เห็นธรรม
แต่ถ้าบุคคลใดเมื่อเจอปัญหาอุปสรรคในชีวิต หรือที่เรียกว่าเจอวิบากเข้ามาหนัก ๆ จนรู้สึกว่าหา ทางออกยาก หรอื มปี ญั หาเฉพาะตวั อยา่ งเชน่ เรอื่ งของสขุ ภาพ เรอื่ งภายนอกไมม่ ี แตเ่ จอวบิ ากเรอื่ งสขุ ภาพ รา่ งกายทา ใหร้ สู้ กึ ทรมาน จงึ ทา ใหเ้ หน็ วา่ การเกดิ นนั้ เปน็ ทกุ ขจ์ รงิ ๆ ถงึ แมจ้ ะมสี งิ่ ตา่ ง ๆ รอบตวั เพอื่ บรรเทา แต่ ความรสู้ กึ ในใจลกึ ๆ แลว้ ไมไ่ ดม้ คี วามสขุ ไมไ่ ดม้ คี วามอสิ ระ ไมม่ คี วามเยน็ รสู้ กึ วา่ ชวี ติ ไมม่ คี วามปลอดภยั ทงั้ ทสี่ งิ่ ภายนอกนนั้ ไมม่ อี ะไรรบกวนเลย ทรี่ สู้ กึ วา่ ยงั ไมป่ ลอดภยั เพราะวา่ วบิ าก การเวยี นวา่ ย การเกดิ ใหม่ ในภพภูมิต่อไปนั้นยังมีอยู่ เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าปัจจุบันไม่มีอะไรเบียดเบียน ไม่มีอะไรรบกวน แต่ก็ยัง รู้สึกไม่สามารถวางใจ ปล่อยใจให้เกิดความอิสระ หรือเบาใจได้
สาหรับผู้มีปัญญาแล้ว เมื่อมีความทุกข์เกิดขึ้น แม้ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ก็พิจารณาว่าทุกข์เกิดขึ้นได้ อย่างไร และจะแก้ทุกข์ได้อย่างไร ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาได้อย่างไร... ปัญหาบางอย่างไม่จาเป็นต้องแก้ เวลาจะ เป็นผู้แก้ไขเอง แต่การพิจารณาถึงสัจธรรมเพื่อจะออกจากทุกข์อย่างสิ้นเชิงนั้น ก็ต้องมาพิจารณาอารมณ์ ภายใน เพราะอะไรถึงมีความเป็นตัวตน บุคคล เรา เขาขึ้นมา ? ทาไมถึงมีทุกข์ขึ้นมา ? เพราะอวิชชา เพราะ ความไม่รู้... ไม่รู้อะไร ? ไม่รู้เหตุแห่งทุกข์ ไม่รู้ว่าขันธ์ทั้งห้าเป็นที่ตั้งของอุปาทานการยึดมั่นถือมั่น ไม่รู้ว่า