Page 93 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การพิจารณาหัวข้อธรรม
P. 93
953
ทาให้ปัญญาชัดเจนว่า เวทนาที่เกิดขึ้นมานั้น ไม่ได้บอกว่าเป็นตัวเรา เห็นชัดด้วยตาปัญญาของตัว เอง ไม่ได้แค่...เป็นผู้ฟัง แล้วเชื่อตาม ๆ เขาว่ามาอย่างนั้น ก็เป็นแบบนั้น แต่ที่สาคัญก็คือว่า อานิสงส์ที่เกิด ขึ้นจริง ๆ เลย จากการกาหนดรู้เวทนาที่เกิดขึ้น รู้ถึงอาการเกิดดับ หรือถึงกฎไตรลักษณ์ของเวทนาแล้ว เห็นชัดเท่าไหร่ จิตยิ่งผ่องใส เห็นชัดเท่าไหร่ จิตยิ่งสะอาด เห็นความแตกต่าง ยิ่งเห็นชัดว่า เวทนากับจิต ที่ทาหน้าที่รู้ หรือตัววิญญาณรู้เป็นคนละส่วนกันด้วยแล้ว จิตจะยิ่งมีความผ่องใส มีความโล่ง ความโปร่ง ความเบาเกิดขึ้นมา จึงเห็นเวทนาตามความเป็นจริงว่า เวทนาสักแต่เวทนานั้นเป็นอย่างไร
เมอื่ เวทนานนั้ ไมส่ ามารถบบี คนั้ จติ ใจใหม้ เีวทนาทางจติ มที กุ ขเวทนาทางจติ เกดิ ขนึ้ มาได้ทกุ ขเวทนา ทางจิตที่เกิดขึ้นมา ส่วนใหญ่ก็จะมีลักษณะความขุ่นมัว ความเศร้าหมอง ความเร่าร้อน ความทุกข์ที่เกิดขึ้น มา นั่นคือลักษณะของเวทนาทางจิตที่เกิดขึ้น ที่เป็นไปในแง่ลบ และเวทนาเหล่านี้นี่แหละ ทาให้จิตเรา...ถ้า ไม่มีปัญญาพิจารณา ไม่มีสติพิจารณา ก็จะเอามาเป็นของตัวเอง แล้วก็จะปรุงแต่งไปต่าง ๆ นานา นามาซึ่ง ความขนุ่ มวั เศรา้ หมองมากขนึ้ ความขนุ่ มวั เศรา้ หมองมากขนึ้ การปรงุ แตง่ ทางจติ ทปี่ รงุ แตง่ ไปตา่ ง ๆ นานา
การกระทาทางจิตที่เกิดขึ้น ก็กลายเป็นมโนกรรม เป็นแบบไหน ด้วยอะไรเป็นเหตุ ด้วยโมหะ ด้วย โทสะ ดว้ ยโลภะเปน็ เหตุ เขา้ มาทา ใหจ้ ติ ใจไมด่ ี แลว้ เปน็ ไปในลกั ษณะตา่ ง ๆ มโนกรรมเกดิ ขนึ้ วจกี รรมตาม มา กายกรรมเกิดขึ้นมา เป็นไปในทิศทางแบบไหน ถ้ามีอกุศลมูลเป็นเหตุ เป็นตัวผลักดันให้กรรมเหล่านั้น เกิดขึ้น ย่อมเป็นไปในแนวทางที่เป็นอกุศลเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น การเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั้น เมื่อ กาหนดรู้เวทนา ให้กาหนดรู้ด้วยความรู้สึกที่ไม่มีตัวตน ไม่มีเรา พิจารณาถึงความเป็นคนละส่วน ระหว่าง ตัวจิตที่ทาหน้าที่รู้ กับอารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นคนละส่วนกัน
และมคี วามพอใจ พอใจทจี่ ะศกึ ษา พจิ ารณาถงึ กฎไตรลกั ษณเ์ ปน็ ทตี่ งั้ ถงึ อาการเกดิ ดบั ของเวทนาที่ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางจิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความทุกข์ที่เกิดขึ้น ถ้าเราระลึกถึงคาสอน ของ องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ คอื คา วา่ เวทนาเปน็ ของไมเ่ ทยี่ ง เวทนาไมเ่ ทยี่ ง เปน็ ทกุ ข์ เปน็ อนตั ตา การ พิจารณาอย่างนี้ เพื่ออะไร เพื่อเตือนตัวเอง จะได้ไม่หลงเข้าไปยึดว่าเวทนานั้นเป็นของเรา แล้วเวทนานั้น ตั้งอยู่นาน บีบคั้น หรือเพื่อที่จะได้ไม่เข้าใจผิดคิดว่า ชีวิตนี้มีแต่ทุกขเวทนาครอบงาตลอดเวลา ซึ่งทั้ง ๆ ที่ บางทีเกิดขึ้นมาวันละไม่กี่นาที หรือไม่กี่ครั้ง และไม่กี่นาที เกิดขึ้นสั้น ๆ สั้น ๆ แต่เมื่อเกิดขึ้นบ่อย ๆ เลย เข้าใจผิด เขาเรียกว่าอนุมาน หรือคิดเอาเองว่า ชีวิตนี้มีแต่ความทุกข์ครอบงาตลอดเวลา อันนี้อย่างหนึ่ง
การทเี่ หน็ ถงึ อาการเกดิ ดบั ของเวทนาแบบนี้ การทยี่ กจติ ขนึ้ สวู่ ปิ สั สนา ดว้ ยการสนใจถงึ การเกดิ ขนึ้ ตั้งอยู่ ดับไป ของเวทนาที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางจิต ก็เป็นวิธีพัฒนาสติ สมาธิ ปัญญา ให้ ก้าวหน้า หรือเฉียบแหลมมากขึ้น ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะปัญญา จะทาให้เห็นชัดในอารมณ์ที่เกิดขึ้น ถึงความเป็นธรรมชาติ ถึงกฎไตรลักษณ์ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เพราะฉะนั้น การที่รู้แบบนี้แหละ จิตถึง จะคลายจากอุปาทาน เห็นชัดถึงความเป็นจริง จิตคลายจากอุปาทาน จิตจะวาง วางอะไร เริ่มจากการวาง ความรู้สึกว่าเป็นเรา ละตัวตน ยิ่งเห็นว่าเวทนาที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ความทุกข์เกิดขึ้นมาก็ยังดับไป เป็นของ ไม่เที่ยง