Page 165 - มรรควิถี
P. 165

ยิ่งเบา นั่นไมไดเลาถึงลักษณะอาการเกิดดับ เลาถึงความเบามากกวา ลักษณะอาการเกิดดับ อันนี้คนละอยางกัน เขาเรียกวาไมตรงประเด็น พอไมตรงประเด็นปุบเนี่ย ตอไปนี่จะจับไมถูกแลว อันนี้เราก็จะไมไดมุง ไปที่อาการเกิดดับ พอจับอีกเราก็สนใจแคความเบา ผลที่ตามมา เหตุที่ ทําใหเปนอยางนั้นเราจะมองขามไป อีกอยาง.. ตอไปก็คือ ตะกี๊พูดถึง เวทนาก็เลยมาถึงนี่แลว
สัญญาก็เหมือนกัน ในเวลาเราปฏิบัติรูสึกวาถาเราแยกระหวางความ คิด... สัญญาเนี่ยสวนมากจะเปนความคิด สัญญากับสังขารอาศัยกันนะ สัญญา สังขาร สังขารมี ๒ อยาง คือรางกายของเรา เขาเรียกวารูปสังขาร อีกอยางหนึ่งก็คือจิตสังขาร คือเรื่องของจิต ที่เราปรุงแตง เราคิดขึ้นมา เพราะฉะนั้นตรงนี้สังขาร หรือสัญญากับสังขาร อยางเชนเวลามีเรื่องใหคิด เราจําได ถามวาที่เราคิดนะดวยเหตุอะไร ? มันตองมีเหตุที่มา คิดเรื่อง อะไร ? คิดเรื่องในอดีต มีเรื่องในอดีต ทําใหเราคิดในอนาคต หรือมาคิด ในปจจุบัน ตอนที่เราคิดปรุงแตงไป ตรงนั้นเปนสังขารแลว แตดวยเหตุ ความจํา เราจําเรื่องอะไร มีอะไรสะกิด เขาเรียกมีเหตุใกล อยางเชนพอเรา รูสึกวามีเสียงแบบนี้เกิดขึ้น เราก็จําวาเมื่อกอนเคยเปนยังไง เมื่อกอนเสียง นี้เคยเปนยังไง แลวก็ปรุงแตงไปในอนาคต เพราะฉะนั้นสัญญากับสังขาร อยูใกลกันมาก ๆ
เมื่ออยูใกลกันอยางนี้ วิธีอยางหนึ่งก็คือวาเมื่อปรุงแตงเกิดขึ้น เนี่ย ถาปรุงแตงอยางไมมีตัวตน เราก็จะปรุงแตงดวยเปนการพิจารณาแลว ไมปรุงแตงแตพิจารณาตามความเปนจริงของอารมณนั้น ๆ พิจารณาถึง สภาวะท่ีเกิดขึ้นในปจจุบันวาเปนอยางไร แตถามีตัวตนเมื่อไหร มันก็จะ ปรุงแตงไปตามอารมณ อารมณตัวนั้นจะมาเปนตัว เขาเรียกเปนปจจัย หนึ่ง ..อารมณมาเปนปจจัยมาปรุงแตงจิตเราใหเปนอยางไร การที่วาอารมณนั้น ปรุงแตงจิตเรา ก็คือวาอยางเชนไดยินเสียงปุบ เสียงนั้นมีอํานาจมาปรุงแตง
151


































































































   163   164   165   166   167