Page 123 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การพิจารณาสภาวธรรม
P. 123

431
ในขณะเดียวกันนี่นะ อย่างที่เคยบอกเสมอว่า ตอนแรกเรารู้ว่าอาศัยเสียง อาศัยอาการเกิดดับของ เสียง เสียงมันวิ่งมา วิ่งมาจากจุดเกิด แต่พอสักพัก เสียงดังอยู่ไกล ๆ แต่อาการเกิดดับมาชัดในความ รู้สึก ชัดอยู่ภายใน ดังปังตรงนั้น แต่ตรงนี้วุบ บางทีก็แค่วุบบานขึ้นมาเบา ๆ เสียงดังปัง อันนี้ก็วุบเบา ๆ ๆ เหมือนไม่เกี่ยวกันกับเสียง แต่สังเกตดี ๆ พออาการของเสียงไม่เกิดขึ้น อาการวุบ ๆ นี่ก็ไม่มี ตรงนี้แหละ เขาเรียกว่าอาศัยเสียง แต่ว่าเป็นอาการอารมณ์ อาการเกิดดับมาชัดอยู่ในความรู้สึก ชัดอยู่ภายใน วุบ ๆ ตรงนี้สังเกตดู
ถ้าเป็นแบบนี้เราก็สังเกตอาศัยเสียง กาหนดจากที่เขาเกิดดับแบบนี้ วุบนิดหนึ่ง ๆ ต้องนิ่งขึ้น คอย ระวงั ใสใ่ จใหม้ ากขนึ้ ดเู ขาเกดิ ดบั ในลกั ษณะอยา่ งไร ดจู นอาการนจี้ บเหมอื นกนั รจู้ นอาการนสี้ นิ้ สดุ ลง จาก จิตที่เคยผ่องใส ที่สว่าง ตั้งมั่น ลองดูเขาเปลี่ยนเป็นอยา่ งไร รู้อาการเกิดดับนี้แล้ว สภาพจิตเปล่ียนเป็น อย่างไร สงบมากขึ้น หรือว่าเป็นอย่างไร นั่นคือผลที่เกิดขึ้นที่เราพึงใส่ใจ กาหนดแบบนี้สลับกันไปเรื่อย ๆ อันนี้แค่ยกตัวอย่างว่า ถ้าเรากาหนดเสียง เสียงที่เกิดอยู่ในที่ว่าง ๆ ทีนี้ถ้าเสียงหมดไป สมมติว่าถ้าเสียง หมดไป กลับมาดูตัวนี่นะ ไม่มีอาการเกิดดับนี่นะ ก็มารูปทั้งหมดนี่นะ
ถึงแม้ไม่มีรูป ไม่มีตัว เราสามารถบอกได้ว่าตอนนี้นั่งอยู่ที่ไหน นั่งอยู่ในที่ว่าง ๆ ยืนอยู่ในที่ว่าง ๆ ยืนอยู่ท่ามกลางความสงบ ยืนอยู่ท่ามกลางความเบา ในความรู้สึกนี่นะ เหมือนไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัว แต่ เวลาลืมตา เราจะเห็นว่ารูปนี้อยู่ท่าไหน กิริยาเป็นอย่างไร อันนี้ต้องรู้ พอลืมตาปึ้บ รู้สึกว่ารูปนี้อยู่ในท่าไหน กิริยาอย่างไร เราก็รู้สึกได้ว่า อาการของรูปนี่นะตั้งอยู่ในที่ว่าง ๆ นั่งอยู่ในความสงบ ความใส หนักเบาต่าง กัน หนักเบาแบบไหน ตาเห็นแต่ใจว่าง เห็นไหม ตาเห็นแต่ใจเบา
บางทีเราหลับตา ไม่เห็นรูป รู้สึกเบาอยู่แล้ว รู้สึกว่างอยู่แล้ว พอลืมตาก็ต้องสังเกตดู เวลาตาเห็นใจ ยังเบาอยู่ไหม ใจยังว่างอยู่ไหม ไม่ใช่ว่าจิตเบา หลับตามองไม่เห็น อะไรมันว่างไปหมด ลืมตาแล้วก็ต้องว่าง หมด อันนั้นก็ไม่ดี มองอะไรก็ไม่เห็น แต่จะมีสภาวะช่วงหนึ่งเองที่เขาจะเป็น อย่างที่เคยเล่าให้ฟัง เคยพูด ให้ฟังว่า พอใช้ความรู้สึกที่ว่างมองแล้ว ภาพที่เห็นว่างไป จริง ๆ อันนี้ เราใช้กับอะไร มองแล้วภาพนั้นทะลุ หายไป โดยที่ไม่มีผัสสะ จริง ๆ กาหนดด้วยความรู้สึกที่ว่าง จิตที่ว่างมารับรู้อารมณ์นี่นะ
อันนี้ใช้งานกับชีวิตประจาวันของเรา ตรงที่ว่า เมื่อไหร่ที่เราเจอผัสสะ ภาพที่เราเคยเห็นแล้วรู้สึกว่า ไม่อยากเห็น ใช้คาว่า ไม่อยากจะเห็น เห็นแล้วไม่สบายใจ ไม่อยากจะมอง ไม่อยากจะเห็น ไม่อยากจะมอง นี่นะ ใช้ความรู้สึกที่ว่าง ๆ นี่นะมอง มองเข้าไปให้ทะลุให้ว่างไป ใช้ความรู้สึกที่ว่างผ่านภาพนั้นไป ทะลุไป... ก็จะเป็น ตรงนี้พอมองผ่านทะลุปื๊บนี่นะ ผัสสะ...เวทนาที่เกิดขึ้นทางจิตก็ต่างไป ถ้ามองแล้วรู้สึกว่าเขาว่าง ไปเลย รู้สึกกระทบจิตใจเราไหม...ไม่กระทบ
เมื่อก่อนสายตากระทบรูป แต่รูปกระทบใจ ทาให้เกิดความรู้สึกไม่พอใจ ไม่สบายใจขึ้นมา แต่ทีนี้ ถ้าใช้จิตที่ว่างมองไปกระทบ แทนที่จะกระทบรูป มี...รู้สึกมีจุดกระทบ มันก็กลายมองแล้วทะลุไปเฉย ๆ มองไปทะลวุ า่ งไป อาการกระทบทเี่ ขา้ มาถงึ ใจนนี่ ะ ไมเ่ กดิ ขนึ้ อนั นกี้ ารรบั รอู้ ารมณ์ ดว้ ยความรสู้ กึ ทวี่ า่ งไมม่ ี ตัวตน เป็นการป้องกันโทสะของเราอย่างหนึ่ง ป้องกันโลภะอย่างหนึ่ง ป้องกันความมีตัวตน ใช้ความรู้สึก


































































































   121   122   123   124   125