Page 164 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การพิจารณาสภาวธรรม
P. 164
472
เพียร อยากรู้และใส่ใจ ให้รู้ต่อเนื่อง สังเกตต่อเนื่อง กลายเป็นความเพียร หรือความขยัน เป็นการปฏิบัติ ธรรม เป็นการเจริญสติได้อย่างต่อเนื่อง ทุก ๆ อาการ
การปฏิบัติธรรมที่ดี ปฏิบัติธรรม...ทาทุกวัน ทาทั้งวันและทุกขณะ การที่ปฏิบัติความเพียรตรงนี้ เพอื่ ทจี่ ะพฒั นาปญั ญาอยเู่ สมอ มสี ตคิ อยกา กบั ไมเ่ ผลอเรอ แลว้ จะไดเ้ จอความผอ่ งใสแหง่ ใจตน มสี ตคิ อย กากับรู้อาการที่เกิดขึ้น ทีนี้ลองกลับมาดูตรงนี้ สภาพจิตเราขณะนี้ลองดูว่า รู้สึกอย่างไร มีความตื่นตัวขึ้น ไหม มีความผ่องใสขึ้นไหม พอเราพิจารณาธรรมปฏิบัติไปแล้ว สังเกตอาการความคิดบ้าง ฟังเสียงบ้าง รู้ เวทนาบ้าง แล้วก็ลองดู ย้อนกลับมาดูจิตอีกทีหนึ่ง พอฟังอยู่ กลับมาดูข้างในจิตเรา รู้สึกเป็นอย่างไร
เมื่อกี้นี้ เริ่มต้นด้วยการเติมความสุขให้ตัวเอง น้อมถึงบุญเข้ามาใส่ตัวใส่ใจเรา ตอนนี้ฟังธรรมะ เพลิน บุญหายหรือยัง หรือมีบุญมากขึ้น รู้สึกตื่นตัวขึ้น ใสขึ้น ถ้าจิตเรามีความผ่องใสมากขึ้น นั่นแสดงว่า จิตเราเป็นบุญ เขาเรียกเป็นมหากุศล มีความผ่องใสขึ้น มีพลังมากขึ้น น้อมเข้ามาใส่ตัว แล้วลองดู ทาจิต ที่ผ่องใสแล้วนี่นะ ให้กว้างออกไปอีก ให้กว้างออกไป
ทีนี้ต่อไปก็คือว่า ไม่มีอาการของเวทนา...อาจารย์พูดถึงเวทนา...เกิดดับ จิตรับรู้เกิดดับด้วยหรือ เปล่า พอรู้ไปแล้วจิตผ่องใสขึ้น ถ้าเวทนาเขาหายไปแล้ว เวทนาหมดไปหายไป เหลือแต่จิตที่ผ่องใส ผ่องใส อยู่ข้างหน้าอย่างเดียว หรือข้างใน ให้ย้อนกลับมาดูนะ ข้างในความรู้สึกในตัว ข้างในลึก ๆ มีความผ่องใส มีความสว่างขึ้นมาด้วยหรือเปล่า หรือทั้งตัวนี้มีเหมือนกับ...ที่รูปที่กายนี่นะ เหลือแต่พลังที่สว่าง เหลือแต่ ความสว่างอยู่ มีแต่ความสว่าง มีความผ่องใสอย่างเดียว ไม่มีตัว แต่สว่าง
เห็นไหม นี่คือสภาวธรรมอย่างหนึ่งที่เกิด มีความผ่องใส มีความสว่างขึ้นมา เข้าไปรู้ในความสว่าง และใสนั้น เข้าไปตรงความใสสว่างที่รูป แล้วดูว่า...ก็เปลี่ยนอย่างไร มีอาการเป็นอย่างไร ขยายออกไป กว้างออกไป จากที่สว่างแล้ว ใสมากกว่าเดิมไหม ตรงนี้กลายเป็นว่า รู้ความไม่เที่ยง ดูจิตที่ไม่เที่ยงที่มีการ เปลี่ยน จิตที่ผ่องใสแล้ว ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลง ตรงนี้ การที่เรารู้ความเปลี่ยนแปลงของจิตแบบนี้ เราจะ ได้ไม่ยึด หรือไม่ติด...จิตที่ว่าง จิตที่ใส แม้แต่จิตที่ผ่องใสที่สว่างก็ยังไม่ให้ติด ทาไมถึงไม่ติด ถ้าไม่ติด เขา ก็จะพัฒนาต่อไปได้
เพราะฉะนนั้ พอไมต่ ดิ แลว้ กจ็ ะดขี นึ้ ๆ ๆ รไู้ ปนนี่ ะ จติ กไ็ มเ่ ทยี่ ง เหน็ ไหมจติ กไ็ มเ่ ทยี่ ง จติ ตรงนเี้ ปน็ เวทนาทางจิต จิตที่มีความสุข มีความผ่องใส มีความเบิกบาน กลายเป็นรู้ไป หรือแม้แต่อุเบกขาที่หนาแน่น สงบเปน็ อเุ บกขา ความเฉย เฉยแคบ เฉยกวา้ งกต็ า่ งออกไป เฉยแบบมตี วั ตน มคี วามเปน็ เรา เราเปน็ คนเฉย กบั รสู้ กึ เปน็ ความเฉย เปน็ อเุ บกขาทไี่ มม่ เี รา ผลเขาจะมคี วามแตกตา่ งกนั พอไมม่ เี รา เฉยแบบไมม่ เี รา...เปน็ อย่างไร เฉยแบบมีเรา เฉยแบบมีเรากับเฉยแบบไม่มีเรา แต่มีสติ อันไหนสบายกว่ากัน อันไหนสบายกว่า กนั สงั เกตไหม เฉยเหมอื นกนั แตใ่ หผ้ ลแตกตา่ งกนั นคี่ อื ความละเอยี ดของการดจู ติ ในจติ ...การปฏบิ ตั ธิ รรม
เพราะฉะนั้น ให้กลับมาลองดูตอนนี้อีก จิตยังว่าง เบา เฉย หรือมีอะไรเกิดขึ้น ทีนี้ถ้าจิตเรามีความ ตื่นตัว มีความผ่องใสขึ้นมา ไม่มีอะไรข้างใน ที่ตัว...ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีอาการเกิดดับ ไม่มีอาการ