Page 188 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การพิจารณาสภาวธรรม
P. 188
496
การดูจิตในจิต ก็คือการเข้าไปกาหนดรู้จิตที่ใส ที่สว่าง ที่สงบนั่นแหละ เข้าไปสารวจกาหนดดูว่า จิตที่กาลังสงบอยู่นี้ดีอย่างไร หรือมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร จิตที่มีความผ่องใส เปลี่ยนแล้วเข้าไปรู้แล้ว มีความเปลี่ยนแปลงอย่างไร จิตที่มีความสุขที่กาลังปรากฏเกิดขึ้นมา มีความเปลี่ยนแปลงไหม หรือจิตที่ สุข สงบใส เบิกบาน ที่กาลังปรากฏเกิดขึ้นมา มีความรู้สึกว่า เขาบอกว่าเป็นเราไหม มีตัวตนไหม หรือจิต ที่กาลังปรากฏอยู่นี้ มีกิเลสตัวไหนเกิดขึ้นหรือเปล่า หรือเป็นจิตที่เกิดขึ้นด้วยสติ สมาธิ ปัญญา เกิดจาก ปัญญาพิจารณาถึงไตรลักษณ์ ถึงการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แล้วทาให้จิตมีความผ่องใสมากขึ้น สะอาดขึ้น นั่นคือการดูสภาพจิต การสารวจดูจิตที่เกิดขึ้นมา ปรากฏเกิดขึ้นมา อันนี้อย่างหนึ่ง
อีกอย่างหนึ่งที่การดูจิตในจิต อย่างที่บอกแล้วว่า แม้แต่ตัวจิตที่ทาหน้าที่รู้เอง จิตที่ทาหน้าที่รู้ว่าคิด จิตที่ทาหน้าที่รู้ว่าสงบ ว่าสุข ว่าเบา นั่นคือตัวจิต อย่างที่เรียกว่าวิญญาณรู้ ตัวจิตที่ทาหน้าที่รู้อันนี้ มีการ เกิดดับไหม นั่นคือการกาหนดรู้ และจิตที่ทาหน้าที่รู้อันนี้ บอกว่าเป็นเราที่ทาหน้าที่รู้ หรือมีแค่จิต สติที่มี กาลัง ทาหน้าที่รับรู้อารมณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และการดูจิตหรือตัววิญญาณรู้ ดูจิตทาหน้าที่รู้นี่ แหละ จะเห็นถึงลักษณะธรรมชาติของวิถีจิต ที่บอกว่าจิต...ขึ้นมาเกิดขึ้นมา แล้วรับรู้อารมณ์เดียวก็ดับไป จิตดวงใหม่ก็เกิดขึ้นมา ทาหน้าที่รับรู้อารมณ์ในขณะต่อไป เป็นจิตดวงใหม่เกิดขึ้นต่อเนื่องอยู่เนือง ๆ อยู่ เรื่อย ๆ ก็ด้วยการกาหนดรู้ มีเจตนาที่จะกาหนดรู้ ถึงจิตที่ทาหน้าที่รู้ตรงนี้แหละ ถึงจะเห็นวิถีจิตตรงนี้
และวิถีจิตตรงนี้อีกอย่างหนึ่ง แล้วถ้าเป็นผู้ปฏิบัติเบื้องต้นนั้นเรียกว่าอะไร เรียกว่าต้นจิต จิตท่ีรู้ ก่อนกระทา ก่อนขยับ รู้สึกก่อนขยับ รู้สึกก่อนเคลื่อนไหว ก็จะทาให้สติมีกาลังมากขึ้น ใส่ใจอาการที่เกิด ขึ้น เพราะฉะนั้น การที่ดูจิตในจิต ๓ อย่างนี้ อาจจะแยกออกมาเป็น ๓ ส่วน หนึ่งคือรู้ว่าคิด ๆ กาลังคิด อะไรอยู่ ความคิดไม่ว่าจะเป็นตัวสัญญา หรือการปรุงก็จัดเป็นความคิด
ทีนี้ตัวสภาพจิตอีกอย่างหนึ่ง อย่างที่บอกมีความสุข มีความสงบ มีความเบา แต่จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่ มีแค่นี้มีความขุ่นมัว มีความหนัก มีความสลัว ที่ประกอบที่เราเรียกว่า จิตที่ประกอบด้วยโลภะ โทสะ หรือโมหะ ที่มีเป็นมูลเป็นฐาน เป็นตัวผลักดันให้ความคิดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมานั้น เป็นความคิดที่เป็นไป ในลักษณะอย่างไร ที่เราว่าคิดด้วยความอยาก คิดเพราะมีความโลภ คิดเพราะมีโทสะ โลภะ โทสะ โมหะ ครอบงา ปรากฏเกิดขึ้นมา เลยทาให้คิด ๆ ไปต่าง ๆ นานา คิดในแง่ลบบ้าง คิดในมุมที่ไม่ดีต่าง ๆ คิดไป มาก ๆ ก็ทาให้การกระทาทางกาย วาจา เป็นกรรมที่ไม่ดีไปด้วยเช่นเดียวกัน
เพราะฉะนั้น การดูสภาพจิตตรงนี้จึงเป็นสิ่งสาคัญ เพราะอะไร เพราะเมื่อไหร่ที่มีอกุศลเกิดขึ้น จิต มีความขุ่นมัว ความสลัว ความเศร้าหมอง หรือเกิดความทุกข์ขึ้นมานี่นะ เราก็สามารถดับความทุกข์นั้นได้ ทันที ถ้าหมั่นพิจารณาแบบนี้ พอเริ่มเกิดขึ้นมาก็จะรู้ได้เร็วขึ้น เมื่อสติรู้เท่าทัน หรือรู้ถึงอารมณ์ที่ประกอบ ด้วยกิเลส จิตที่มีกิเลสเกิดขึ้นมา ถ้ารู้เร็วเมื่อไหร่ เขาก็จะดับได้เร็ว ถ้าปล่อยให้กิเลสนั้น...จิตที่ขุ่นมัวเศร้า หมอง ทาหน้าที่ของตนปรุงแต่ง เป็นตัวผลักดัน เป็นมูลปรุงแต่ง เป็นปัจจัยให้การปรุงแต่ง ในการทาอกุศล ทางจิตให้มากขึ้น ๆ จนถูกกิเลสตรงนั้นครอบงา การที่จะดับก็เป็นเรื่องยาก