Page 60 - แนวทางการปฏิบัติธรรม
P. 60
54
สภาวะเปลี่ยนเร็วขนาดนั้น ป่านนี้ก้าวหน้าไปไกลแล้ว! แต่นี่อยากให้รู้ จดุ ทตี่ อ้ งใสใ่ จ สภาวะเขาตอ่ เนอื่ งกนั บางทพี อเดนิ ๆ ไป พอกระทบมอี าการ กระจาย กระทบปบ๊ึ เหมอื นกระทบถกู นา้ ตนื้ ๆ แลว้ มนั กระจายวบั ๆ บานออก ข้าง ๆ จุดที่ต้องสังเกตก็คือว่า กระทบแล้วมีอาการวับบาน ๆ กว้างออก กระทบแล้วอาการบานเขากว้างขึ้นเรื่อย ๆ หรือกระทบแล้วอาการบาน แคบลง ๆ ในก้าวต่อ ๆ ไป นี่คือจุดที่ต้องใส่ใจ ใส่ใจถึงความแตกต่าง ของลักษณะอาการเกิดดับของการเดิน
บางครั้งโยคีเดินพื้นเรียบ แต่รู้สึกเหมือนเดินขึ้นที่สูง เป็นปึ๊บ ๆ ๆ เราเดนิ พนื้ เรยี บแตท่ า ไมรสู้ กึ เหมอื นเดนิ ขนึ้ ทสี่ งู เปน็ ขณะ ? นนั่ เปน็ ความรสู้ กึ นั่นคือเป็นสภาวะอาการเกิดดับ บางทีพอเดินไปสักพัก จิตมีกาลังขึ้น อาการเดินเหมือนเหยียบแล้วจมไปในก้อนเมฆหรือจมไปในโคลน จมไป ในกอ้ นเมฆกบั ในโคลนตา่ งกนั อยา่ งไร ? รสู้ กึ ถงึ ความตา่ งวา่ เมฆกบั โคลน มีความหนาแน่นต่างกัน เพราะฉะนั้น เวลาเราเหยียบเราจึงแยกได้ นี่คือ ความต่างของสภาวะระหว่างการเหยียบแล้วจมลงไปในโคลน วื้บ จมลงไป ๆ นั่นคืออาการเกิดดับอย่างหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงที่ต่างไป พอสักพักเดินแล้ว เหมือนเดินอยู่บนปุยเมฆ มันไม่รู้สึกว่าเดินแล้วจมลงไปเหมือนโคลน มนั เบา สงั เกตไหม เดนิ อยบู่ นปยุ เมฆนอี่ ะไรหายไป ? รปู รา่ งของเทา้ หายไป รู้สึกได้ถึงข้อเท้า มีเท้าแต่ไม่เห็น นี่คือลักษณะความต่าง และความเบา ของรูปเรา ของตัว ของจิตที่ต่างไป เพราะฉะนั้น เวลาเดินจงกรม ถ้าสภาวะ เขาเปลี่ยน สภาวะเหล่านี้เขาจะปรากฏให้โยคีเห็นเอง เพราะฉะนั้น เวลากาหนดอาการเกิดดับในขณะที่เดินจงกรมต้องสังเกตให้ดี อย่าจาแต่ จังหวะเดินอย่างเดียว ให้ดูความเปลี่ยนแปลง นี่คืออาการพระไตรลักษณ์