Page 37 - สภาพจิต
P. 37

31
รู้อาการชัด ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ไปสักพัก แต่พอรู้สึกตัวปึ๊บต้องมาสังเกตเลยว่า จติ ใจรสู้ กึ อยา่ งไร แคน่ น้ั เอง! ชวั่ เสยี้ ววนิ าทใี นการพจิ ารณากจ็ ะบอกไดว้ า่ า่ ขณะท่ีเห็นแต่อาการมันชัด ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ อยู่ พอรู้สึกตัวปุ๊บ “แล้วใจเรา เป็นอย่างไร ?” สภาพจิตใจรู้สึก มีความตื่นตัว มีความตั้งมั่น มีความน่ิง อย่างใดอย่างหนึ่ง ถา้ สา รวจใหก้ วา้ งขนึ้ เรารอู้ าการ-ดสู ภาพจติ -แลว้ กต็ อ้ อ้ งดรู ปู เพราะ จริง ๆ แล้วทั้งหมดที่เกิดข้ึนน้ีเรารับรู้ต่อเนื่องได้ใน เส้ียววินาที คือรู้สึกได้ทันทีเลย อาการเราชัดแบบนี้-สภาพจิตใจก็รู้สึกเบา รู้สึกโล่งไปด้วย-รูปก็โล่ง น่ีคือสภาวธรรมท่ีเกิดขึ้นซึ่งถ้าโยคีสังเกตก็จะ รู้สึกได้ทันทีแบบนี้ และควรท่ีจะสังเกตด้วย เพราะอะไร ? อย่างท่ีเคยพูด เสมอว่าการสังเกตรูปนามที่เปล่ียนไปหรือกายใจท่ีเปลี่ยนไป ก็คือรู้สึกได้ เลยว่าอาการของรูปเปลี่ยนไป สภาพจิตเปลี่ยนไป รู้สึกสงบขึ้น เบาข้ึน ถงึ แมบ้ างขณะจะมอี ารมณจ์ รแทรกเขา้ มาทา ใหม้ คี วามหนกั เกดิ ขนึ้ มาบา้ ง ง ง ง ง ง แต่รู้สึกว่าความหนักหรือความทุกข์เกิดข้ึนไม่นาน เวทนาทางใจเกิดขึ้นไม่นาน แล้วเขาก็จางไปเปลี่ยนไป แล้วเปลี่ยนอารมณ์ได้เร็ว สิ่งเหล่าน้ีที่เกิดขึ้น ถ้าโยคีผู้ปฏิบัติสังเกตก็จะเห็นถึงความเปล่ียนแปลงความเปล่ียนไป ให้พิจารณาแบบนี้ เป็นการรู้ถึงผลที่ตามมา
เกดิดบัแบบไหน เปล่ียนไปอย่างไร อันนี้เป็นหลัก ผลที่ตามมาคือสภาพจิต ยังไงก็รู้ ยังไงก็รู้ เพราะสภาพจิตถ้าสงบยังไงก็รู้ว่าสงบ เบายังไงก็รู้ว่าเบา ถ้ามีความใสเกิดขึ้น ยังไงก็รู้ว่าใส แต่ลักษณะอาการเกิดดับท่ีปรากฏขึ้นมาต้องใส่ใจว่า เขาเกิดดับต่างไปอย่างไร นั่นคือเพิ่มความละเอียด ที่ให้รู้ว่าอาการเกิดดับ ต่างไปนั้นเกี่ยวกับอะไร ? เกี่ยวกับอารมณ์เกิดดับแล้วมีเศษหรือไม่มีเศษ
































































































   35   36   37   38   39