Page 8 - บทที่ ๑
P. 8

๒



               นิ่งเฉยเสียไม่ปฏิบัติตามสัญญา จนเวลาล่วงเลยไปถึง ๑๐ ปี แล้วจึงได้รื้อฟื้นขึ้นมาพูดฝ่ายไทยจึงได้ตอบ

               ปัดไปว่า

                      “แต่ฝ่ายกรุงเทพมหานครได้ญวนมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทรงพระมหากรุณาเมตตา

               แก่คนซึ่งมีชีวิต จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เลี้ยงดูทำนุบำรุง ตั้งบ้านตั้งเรือนทำมาหากินเป็นพวก

               พูมมาจนทุกวันนี้ ฝ่ายญวนก็ได้คนไทยไป แต่หาได้ยินว่าเอาไปเลี้ยงดูทำนุบำรุงไว้ที่แห่งใดไม่ และปืน

               อาวุธซึ่งเจ้าเวียดนามรับสั่งให้องญวนผู้สำเร็จราชการเมืองไซ่ง่อนส่งเข้าไปนั้น ก็ขอบใจอยู่แล้ว แต่ของอัน

               นี้ฝ่ายเมืองญวนเก็บไว้ได้ก็เป็นสิทธิของญวนเถิด หาต้องการที่ไทยจะรับไว้ไม่”

                      หลังจากได้รับหนังสือแล้ว ญวนก็ได้จัดส่งอาวุธคืนมาให้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๑ โดยแจ้งมาว่าฝ่ายไทย

               จะรับหรือไม่ก็ตามที และขอบใจไทยที่ได้ลดหย่อนภาษีการค้าให้

                      เหตุการณ์ด้านกัมพูชา
                      กัมพูชาและญวนเป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวพันธ์ถึงกัน มีผลต่อกันและกัน กล่าวคือ หลังจากที่


               พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ ๔ ขึ้นครองราชย์แล้วสมเด็จพระหริรักษ์ฯ ผู้ได้ทรงประทับอยู่
               ประเทศไทยถึง ๒๙ ปี และทรงคุ้นเคยกับรัชกาลที่ ๔ เป็นอย่างดี ได้ส่งพระโอรสองค์ที่ ๒ และองค์ที่ ๓

               คือ นักองค์ศรีสวัสดิ์ และนักองค์วรรถา เข้ามารับราชการในกรุงเทพฯ กับพระโอรสองค์ใหญ่ นักองค์

               ราชาวดี

                      ครั้นถึง พ.ศ.๒๔๐๐ สมเด็จพระหริรักษ์ฯ ได้ทูลขอพระบรมราชานุญาตแต่งตั้งพระโอรสองค์ใหญ่

               คือ นักองค์ราชาวดี เป็นมหาอุปราช และนักองค์ศรีสวัสดิ์ เป็นพระแก้วฟ้า เนื่องด้วยพระองค์ทรงมี

               พระชนมายุมากแล้ว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ได้ทรงแต่งตั้งให้ตามที่กัมพูชาขอมา และได้ส่ง

               พระโอรสทั้งสองของสมเด็จพระหริรักษ์ออกไปช่วยรักษากัมพูชาต่อไป

                      ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๐๑ พวกแขกจามและมลายูซึ่งมีจำนวนมากในกัมพูชาได้ก่อการจราจลต่อสู้เจ้า

               เมือง ครั้งเมื่อถูกปราบปรามก็ได้อพยพครอบครัวหนีเข้าไปในเขตแดนเวียดนาม สมเด็จพระหริรักษ์ฯ จึง

               ได้กราบทูลพระเจ้าตื้อดึ๊กกว่างเด๊เพื่อขอจับตัวส่งมาให้ ทางเวียดนามไม่ยอมทำตาม ทางกัมพูชาโกรธ

               เคืองมากได้รวบรวมกำลังกองทัพหมายจะบุกเวียดนาม จึงได้บอกข่าวเข้ามายังกรุงเทพฯ ว่าสัมพันธไมตรี

               กับเวียดนามได้ขาดสะบั้นลงแล้ว จะขอทำศึกกับเวียดนามต่อไป

                      ในขณะนั้นเวียดนามเองกำลังมีกรณีพิพาทกับฝรั่งเศสอยู่ด้วย เหตุเพราะไม่ยอมทำสัญญาทางการ

               ค้าด้วยนั่นเอง ทางพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสทรงพระพิโรธมากถึงกับได้ส่งแม่ทัพคุมเรือกำปั่นรบมาบังคับ

               ทำสัญญาอีก และหากได้รับการขัดขืนก็ให้รบเอาเมืองเลย เรือฝรั่งเศสได้มาถึงปากน้ำเมืองเว้ เมื่อวันพุธ

               ที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๐๑ แต่น้ำตื้นเรือใหญ่เข้าไม่ได้ จึงได้ลงเรือบดเข้าไปหลายลำหลังจากที่ไม่ได้รับ

               ไมตรีตอบจากเวียดนามก็ได้เริ่มโจมตีทันที ด้วยเหตุนี้เองเวียดนามจึงได้รบกับกัมพูชาเพียงเล็กน้อย แต่
               ทางฝ่ายไทยมิได้เข้าช่วยกัมพูชาเลย เพราะปรารถนาจะพัฒนาประเทศให้พ้นเงื้อมมือของ “ลัทธิ
   3   4   5   6   7   8   9   10   11   12   13