Page 137 - วทยาศาสตรเพอพฒนาอาชพธรกจและบรการ_Neat
P. 137
126
ที่ไวต่อทั้งรังสียูวีบีและรังสีอินฟราเรด ประกอบกันจึงมีประสิทธิภาพสูงกว่าการใช้อย่างใด
อย่างหนึ่งตามลําพัง
- ใช้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชันในสารเคลือบผิวบางชนิด เพื่อให้โมเลกุล
เกี่ยวเป็น รได้รวดเร็วกว่าการปล่อยให้แห้งในที่ร่มหรือด้วยแสงธรรมดา เช่น สารที่ใช้เคลือบ
ฟัน และสารเคลือบ ในใยแก้วนําแสง สารเหล่านี้ต้องแห้งเร็วและทนทาน
ใช้ทําหลอดไฟ “แบล็กไลต์” ที่เปล่งแสงยูวีสําหรับล่อแมลงให้มาสู่กับดักได้เป็นปริมาณ มาก
ๆ ในกรณีแมลงเล็ก ๆ เช่น ยุง อาจใช้กับดักเป็นตระแกรงไฟฟ้าให้ยุงบินมากระทบและตาย
ได้ เนื่องจากตาของสัตว์บางชนิดโดยเฉพาะพวกแมลงมองเห็นแสงชนิดนี้ได้
อย่างไรก็ตามรังสียูวีทั้งชนิดยูวีเอ ยูวีบี และยูวีซี ต่างมีพลังงานสูงถึงขั้นทําลายเซลล์
ผิวหนังได้ ผู้คนที่อยู่ในเขตร้อนจึงควรระมัดระวังไม่ให้ผิวโดนแสงแดดจ้าเป็นเวลานาน
เกินไป เพราะ นอกจากจะทําให้ผิวเกรียมแล้ว รังสียูวีเอ จากแสงแดดยังทําลายดีเอ็นเอ
(DNA) ของเซลล์ผิวหนัง ซึ่งจะส่งผลให้เซลล์ผิดปกติกลายเป็นมะเร็งผิวหนังได้ ครีมกันแดด
โดยทั่วไปมีสารดักจับรังสียูวีทําให้ ลดอันตรายจากรังสีดังกล่าวได้ระดับหนึ่ง นอกจากเป็น
อันตรายต่อผิวหนังแล้ว ตาเป็นอีกอวัยวะหนึ่ง ที่ไม่ควรปล่อยให้รับแสงยูวีความเข้มสูงเป็น
เวลานาน เพราะเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคทางตา เช่น ต้อหิน ได้ง่าย การอยู่ในบริเวณที่มี
แสงแดดจ้าจึงควรสวมแว่นกันแดดเสมอ นอกจากนั้นในปัจจุบันพบว่ามี ปัจจัยหลาย
ประการที่ลดปริมาณโอโซนในชั้นบรรยากาศดังกล่าวจึงเป็นเหตุให้ผิวโลกได้รับรังสีอัลตรา
ไวโลตมากขึ้นด้วย
3.6 รังสีเอกซ์ (X-rays)
รังสีเอกซ์ มีความถี่ช่วง 1016 - 1022 Hz มีช่วงความยาวคลื่น 10 nm - 10.4 nm
รังสีเอกซ์ เกิดขึ้นโดยอาศัยการให้อิเล็กตรอนพลังงานสูงจากขั้วแคโทดกระทบกับเป้าแอโนด
ที่ทําด้วยโลหะทน ความร้อนสูง เช่น ทังสเตน เมื่ออิเล็กตรอนพุ่งชนอะตอมวัสดุที่ใช้เป็น
แอโนดจะเกิดการเลี้ยวเบนใน อะตอมจึงส่งผลให้อิเล็กตรอนสูญเสียพลังงานจลน์กลายเป็น
พลังงานรังสีเอกซ์ อย่างไรก็ตาม การผลิต รังสีเอกซ์ด้วยวิธีนี้ พลังงานส่วนใหญ่เกินกว่าร้อย