Page 21 - ประวัติศาสตร์จานเดียวพม่า
P. 21
ประวัติศาสตร์จานเดียว
พระองค์ส่งราชทูตไปทูลขอพระเขี้ยวแก้วจากน่านเจ้า ในตอนนั้น
ใครจะหาญกล้าสู้กับพุกามล่ะ กษัตริย์น่านเจ้าก็อยู่ในสถานะเดียวกับเจ้า
เมืองสะเทิมเมื่อกาลโน้น ไม่ยกให้ก็โดนบุก ให้ไปก็เท่ากับว่าเป็นฝ่ายยอม
นับดูแล้วยอมเขาเสียดีกว่าจะได้ไม่เสียเลือดเนื้อ ดังนั้นพุกามของพระองค์
จึงขยายออกไปถึงดินแดนน่านเจ้า และยังได้รับการสวามิภักดิ์จากพวกไทย
ใหญ่เป็นของแถมอีกด้วย
เมื่ออาณาจักรพุกามแผ่ไพศาลมากขึ้น พระองค์จึงจำาเป็นต้องเข้ม
งวดในการปกครองมากขึ้นหลายเท่า แม้จะอยู่ภายใต้อาณาจักรเดียวกัน แต่
ราษฎรส่วนใหญ่ยังคงไม่มีความรู้สึกเป็นชาติเดียวกัน ทุกคนยังรู้สึกว่าฉัน
เป็นมอญ ฉันเป็นพะสิม ฉันเป็นน่านเจ้า ฉันเป็นพยู ภาระในการรวมชาติ
ของพระองค์จึงมิใช่แค่เอาชนะสงครามยึดแผ่นดินมาได้เพียงเท่านั้น แต่
ต้องรวมใจของคนในอาณาจักรให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งที่สุดแล้วแม้ว่าพุกามจะ
รุ่งเรืองอยู่ถึงสองร้อยกว่าปี ก็ยังไม่อาจรวมเป็นหนึ่งใจเดียวกันได้อย่างที่หวัง
เมื่อพุกามแตก แต่ละเมืองก็ตั้งตนเป็นอิสระอีกครั้งทันที
นึกไปถึงแผ่นดินจีนของจิ๋นซีฮ่องเต้ พระองค์อุตส่าห์รวบรวม
อาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลไว้ได้ใต้ฝ่าพระบาทแล้วแท้ๆ แต่ก็ไม่อาจรวม
น้ำาใจราษฎรได้ แม้จะใช้ทั้งพระเดชและพระคุณแล้วก็ตาม เพียงแค่ไม่ถึงชั่ว
อายุคนในการครองแผ่นดิน อาณาจักรฉินของพระองค์ก็แตกสลาย ก็ขนาด
ฉินยังรวมไม่ได้ พุกามจะไปเหลืออะไร
ว่ากันว่าพระเจ้าอนุรุทธนั้นทรงปกครองด้วยความเข้มงวดมากจนถึง
ขั้นที่เรียกว่าดุร้าย ใครผิดก็ต้องโดนดีไม่เป็นเยี่ยงอย่าง ทรงรักษาระเบียบ
อย่างเคร่งครัดราวกับเป็นรัฐทหาร ก็ไม่แปลกสำาหรับบ้านเมืองที่เริ่มตั้ง
ตัว ดูอย่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชของไทยเรา หลายคนไม่เคยทราบว่า
พระองค์ทรง “ดุ” และเคร่งระเบียบวินัยมากแค่ไหน ขนาดสองออกญาที่เคย
รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระราชบิดา พระองค์ก็สั่งกุดหัวเสียเมื่อทำาผิด ด้วย
๑๓