Page 43 - จิตรกรรมปริศนาธรรมภาคใต้
P. 43
หลากหลายเทคนิคเชิงช่างมาขึ้นในช่วงปลายรัชกาลท่ี 3 และต่อเน่ืองถึงรัชกาลที่ 4-9 มีความชัดเจนในเทคนิคเชิงช่าง ที่มีอิทธิพลของการเขียนภาพแบบศิลปะตะวันตกที่มีความเสมือนจริงมีหลักการใช้ทัศนียวิทยามากขึ้น เลือกเขียนภาพ เป็นบางช่วงบางตอน อันมีต้นแบบแบบเน้ือเรื่องปรัมปราคติเดิมของช่างหลวงภาคกลางอันเป็นต้นแบบและส่งอิทธิพล ให้กับช่างเขียนตามหัวเมืองภาคใต้ท่ีมีความสอดคล้องกันของช่างหลวงภาคกลางต้ังแต่สมัยรัชกาลท่ี 1-9 ซ่ึงถือว่ารูปแบบ การเขียนตามแบบสัจนิยมของตะวันตกมีส่วนสาคัญในการเปลี่ยนแปลงเทคนิคเชิงช่าง ของภาคใต้ที่ปรากฏในภาพปริศนา ธรรมต่อเน่ืองจนถึงปัจจุบัน
1.4 เน้ือหําสําระปริศนําธรรม
ช่วงสมัยศิลปะรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 1-3 ภาพปริศนาธรรมจะปรากฏเป็นภาพแทรกในเน้ือหาหลักคือภาพ พุทธประวัติและภาพชาดก แต่มาปรากฏเด่นชัดและเป็นภาพประกอบท่ีสาคัญในจิตรกรรมฝาผนังที่เขียนขึ้นในช่วงรัชกาล ท่ี 4 ได้แก่ เนื้อหาแนวเร่ืองไตรลักษณ์ อสุภะ 10 ปฏิจจสมุปบาท ธุดงค์ 13 ไตรภูมิ วรรณคดีเร่ืองรามยณะ (ความดีกับ ความช่ัว) วรรณกรรมของท้องถิ่นของภาคใต้ ในจิตรกรรมฝาผนังวัดโพธ์ิปฐมาวาส จังหวัดสงขลาและวัดอ่ืนๆ ในภาคใต้ และช่วงรัชกาลท่ี 9 คือ โรงมหรสพทางวิญญาณที่สวนโมกขพลาราม จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นภาพปริศนาธรรมแนว ศิลปะจีนลัทธิเซ็น เต๋า ภาพปฏิจจสมุปบาท และสมุดภาพปริศนาธรรมไทย เป็นต้น
ปริศนําธรรม
ปริศนาธรรมที่พบในจิตรกรรมฝาผนังจะแสดงภาพให้ขบคิดถึงความหมายของภาพซ่ึงมักเป็นภาพในธรรมท่ีมี ข้ออุปมาอุปไมย ภาพปริศนาธรรมมักจะมีรูปแบบการเขียนรูปสืบทอดต่อๆกันมาจึงสามารถทราบได้แน่ชัดว่าภาพน้ี คือ ธรรมข้อใด (วรรณิภา ณ สงขลา, 2534: 98) ภาพปริศนาในภาคใต้จะปรากฏในวัดท่ีเขียนข้ึนในรัชกาลที่ 4 ได้แก่ วัดโพธ์ิ ปฐมาวาส จังหวัดสงขลา เขียนภาพแนวเร่ืองปฏิจจสุมุปบาท ช่างจะเลือกอธิบายด้วยการจัดองค์ประกอบของภาพสัตว์ ทั้งประเภทจตุบาท ทวิบาทและสัตว์เลื้อยคลาน (ช้าง กบ นก งู) และภาพปริศนาธรรมท่ีช่างได้แทรกเป็นส่วนประกอบไว้ ในภาพพุทธประวัติและชาดก ดังเช่น แนวเร่ืองวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้ในจิตรกรรมฝาผนังวัดวัดชลธาราสิงเหและ วัดโคกเคียน
1) ปฏิจจสมุปบําท เป็นธรรมท่ีแสดงให้เห็นว่ากิเลสสามารถปรุงแต่งให้เกิดทุกข์ได้อย่างไรมีขั้นตอนการปรุงแต่ง ดังนี้ คือ เวทนาเป็นเหตุให้เกิดตัณหา ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดอุปาทานอุปาทานเป็นเหตุให้เกิดภพ ภพเป็นเหตุให้เกิดชาติ ตามลาดับ (วรรณิภา ณ สงขลา, 2534: 99) ดังปรากฏภาพแนวเร่ืองปฏิจจสมุปบาทท่ีช่างท้องถ่ินภาคใต้และช่างที่ได้ ไปฝกึ มอื กบั ชา่ งหลวง ไดเ้ ลอื กมาเปน็ สว่ นสา คญั ของจติ รกรรมฝาผนงั วดั โพธปิ์ ฐมาวาส (ภาพท่ี 1-21) โดยการรบั เอานโยบาย ศิลปะแบบประเพณีรัชกาลท่ี 4 โดยเจ้าเมืองสงขลาเป็นช่วงหัวเล้ียวหัวต่อและการเปลี่ยนแปลงของจิตรกรรมฝาผนัง ท้ังภาคกลาง ดังเช่น วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ โดยฝีมือขรัวอินโข่ง ซึ่งได้ปรับเปล่ียนจากการเขียนภาพเร่ืองราว พทุ ธประวตั แิ ละทศชาดกมาเปน็ ภาพปรศิ นาธรรมโดยภาพแสดงถงึ การเตอื นตนทงั้ หลายพงึ พจิ ารณาการเตรยี มความพรอ้ มไว้ ไม่ให้เกิดความประมาทในชีวิต และการมีปัญญาในการดาเนินชีวิต
33