Page 59 - วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ปีที่ 13 ฉบับที่ 1
P. 59
54 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต
“ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ที่สามารถให้เหตุผลและสามารถมองเห็นได้ชัดเจน
ดังนั้น ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จึงจ าเป็นต้องทดลองทุกครั้ง” (S1)
แต่ยังมีนักศึกษาจ านวน 2 คน มีมุมมองที่ต่างออกไปโดยเชื่อว่าการ
พัฒนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไม่จ าเป็นต้องอาศัยการทดลองเสมอไป โดยมีการแสดง
ให้เห็นถึงวิธีการอื่นๆในการสืบเสาะทางวิทยาศาสตร์ (S12) ซึ่งสอดคล้องกับธรรมชาติ
ของวิทยาศาสตร์ในประเด็น NOS 4
“นักวิทยาศาสตร์ไม่จ าเป็นต้องทดลองทุกครั้ง ซึ่งอาจจะพัฒนาความรู้โดย
การรวบรวมข้อมูลจากหลายๆแหล่ง หรือสังเกต ศึกษาเป็นเวลานาน จนได้ข้อมูลที่
มั่นใจและหลักฐานที่น่าเชื่อถือ” (S12)
5. การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ โดยการสังเกตและการ
อนุมานแตกต่างกัน(Observation and Inference : NOS 5)
จากการถอดความในแบบสอบถามมุมมองธรรมชาติวิทยาศาสตร์ ซึ่ง
ปรากฏในข้อค าถามที่ 5 โดยมุ่งเน้นการแสดงออกถึงความแตกต่างกันระหว่างการ
สังเกตและการอนุมาน โดยการสังเกตเป็นกิจกรรมที่นักวิทยาศาสตร์เก็บรวบรวมข้อมูล
จากหลักฐานเชิงประจักษ์โดยการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้นและการ
สัมผัส รวมถึงการใช้เครื่องมือที่ช่วยให้การสังเกตได้ผลที่แม่นย าและน่าเชื่อถือขึ้น โดย
ไม่มีการใส่ความรู้สึกนึกคิด ความคิดเห็นของผู้สังเกตลงไปในข้อมูล ผลการสังเกตจึงอยู่
ในรูปแบบของค าบรรยาย ซึ่งจะมีลักษณะที่แตกต่างกับการอนุมาน โดยการอนุมานจะ
เป็นการสร้างความหมายให้แก่ผลการสังเกตหรือหลักฐานเชิงประจักษ์โดยการอาศัย
การตีความจากผลการสังเกตหรือหลักฐานเชิงประจักษ์ จึงท าให้การอนุมานมีการใส่
ความคิดเห็นของผู้อนุมานลงไปในข้อมูลด้วย อย่างไรก็ตามผลของการอนุมานก็ต้องมี
ความสอดคล้องกับลักษณะของผลการสังเกตด้วย ซึ่งในบางครั้งการอนุมานของ
นักวิทยาศาสตร์ ไม่จ าเป็นจะต้องให้ผลที่ตรงกัน เนื่องจากมีปัจจัยต่างที่ส่งผลต่อการ
อนุมานของนักวิทยาศาสตร์ พบว่า นักศึกษา จ านวน 7 คน แสดงให้เห็นว่าปัจจัยที่ท า
ให้นักวิทยาศาสตร์ให้ค าอธิบายที่แตกต่างกัน คือการให้ความส าคัญกับแนวความคิด
ของกลุ่ม ขณะที่นักศึกษา จ านวน 2 คน เชื่อว่าการตั้งสมมติฐานในการศึกษารวมทั้ง
ปีที่ 13 ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2560