Page 103 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การดูสภาพจิต
P. 103
623
กระทบ ไมอ่ ยากรบั รอู้ ะไร กระทบใหท้ า ความละเอยี ดออ่ นเราหายเลย คนอนื่ กเ็ หมอื นกนั ไมอ่ ยากใหค้ วาม ละเอียดอ่อนของเขาหายไปเหมือนกัน กระทบแล้วเราก็คือ อะไรจิตที่ดีนี่นะ...รักษาอย่างไร แต่ที่ประเด็น สาคัญก็คือว่า อยู่ที่เรา ตรงนี้คือขึ้นอยู่กับปัญญาของเรา วิบากของเรา แต่วิบากต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเราห้าม ไม่ได้ แต่ปัญญาของเราสาคัญในการรับรู้เรื่องวิบากที่เกิดขึ้น
บางทีพอพูดถึงเร่ืองวิบากเหมือนเป็นข้ออ้าง บางคนเขาบอกว่าวิบากนั้นเป็นเหมือนข้ออ้าง ให้เรา แก้ตัวว่าไม่อยาก ป้องกันไม่ได้ ทาอะไรไม่ได้ ไม่อยากจะทา กลายเป็นว่าพอรู้ว่าเป็นวิบากแล้วไม่แก้ไข ตัวเอง อันนี้ก็คือไม่ดี เอาวิบากนั้นนะ วิบากที่เกิดขึ้น เราอ้างเรารู้ว่าเป็นเพราะวิบากแล้วไม่ยอมปรับปรุงตัว เอง อันนี้ไม่ดี วิบากที่เกิดขึ้นนี่นะเพราะกรรมเก่าในอดีต แต่เมื่อวิบากแบบนี้เกิดขึ้นมานี่นะ วิบากที่ไม่ดีส่ง ผลกับเรา ปัจจุบันนี้เราต้องแก้ไข ต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่ออะไร...เพื่อไม่เจอวิบากแบบนี้อีกในอนาคต ใน อนาคตถัด ๆ ไป ในอนาคต ถ้าอนาตรง ก็ค่อยยังชั่วเนอะ อนาคต อนางอ ตามไม่ทันละ...เอ่อนะ! คด ๆ งอ ๆ เราก็ดูไม่เห็นนะ จะมาเมื่อไรไม่รู้นะ ถ้ามันมาแบบตรง ๆ แบบเดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องมา มะรืนนี้ทากรรม ตรงนี้ พรุ่งนี้ต้องเกิดขึ้น ทาวันนี้ปีหน้าต้องเกิดแน่นอน ทาวันนี้ เอ่อ!ชาติหน้าผลวิบากนี้จะเกิดแน่นอน มัน ไม่แน่นอน จะเกิดผลจะเกิดก็ต่อเมื่อเหตุปัจจัยเขาพร้อม เขาก็ต้องเกิดของเขา
แต่การที่เราฝึก จริง ๆ แล้ว ถ้าเราพิจารณานะ เราปฏิบัติธรรมเป็นการขัดเกลาตัวเองเป็นที่ตั้งเลย ที่บอกว่าการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน รูปนามขันธ์ ๕ นี่บอกว่าเป็นเราไหม รูปนามขันธ์ ๕ นี้บอกว่าเป็น เราไหม เราก็ตอบได้ ไม่บอกว่าเป็นเรา แต่ทุกครั้งที่ทามักจะมีเราเป็นเจ้าภาพเสมอ มีความเป็นตัวตนเป็น ของเรา เขาเรียก ทิฏฐิ ความเห็น ทิฏฐิ แล้วทุกคนมีความคิดความเห็นเป็นของตัวเอง ทุกคนมีความคิด ความเห็นในมุมมองของตัวเอง แต่ถ้าเรายึดความเห็นของเราเป็นที่ตั้ง อันนั้นแหละมันจะเป็นอีกแบบหนึ่ง เลย คือยึดทิฏฐิ กลายเป็นทิฏฐิมานะ เรามีความเห็นของเราอันนี้ดีไม่ดี
แตก่ ารจะยดึ หรอื ไมย่ ดึ เราตอ้ งพจิ ารณาดว้ ยเหตปุ จั จยั สงิ่ ทเี่ ราเหน็ ดอี ยา่ งไร ทคี่ นอนื่ เหน็ ดอี ยา่ งไร มุมที่เขามองดีอย่างไร อาจารย์มักจะคิดแบบนี้ เขามีนิทานเล่าให้ฟัง ตาบอดคลาช้าง เขาเล่ามาตลอดเลย นะว่า เพราะตาบอดคลาช้าง ๕ คน อีกคนหนึ่ง ๕ หรือ ๖ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ...ไม่ใช่ ตาบอดคลา ชา้ ง คอื เขาไปคลา ถกู หางเหมอื นอะไร เหมอื นไมก้ วาดใชไ่ หม เออ่ ! เหมอื นไมก้ วาดทางมะพรา้ ว นี่แหละ! ช้างหน้าตาเป็นแบบนี้ อีกคนไปเกาะถูกขา นี่นะช้างเป็นเหมือนเสา ไปคลาถูกหูช้างเหมือนกระด้ง ที่เขาใช้ฝัดข้าวแผ่นใหญ่ ๆ นี่นะ ไปคลาถูกงวงก็บอกว่าเหมือนปลิง คลาถูกงา...คลาแต่ละคน คลาแต่ละ จดุคลาถกูตวัร้สูกึเหมือนย้งุฉางกลายเปน็ว่าชา้งต้องเหมอืนยงุ้ฉางมาถกเถียงกนัจนทะเลาะกันถกเถยีง กันทะเลาะกันเพราะช้างไม่เหมือนกัน เพราะอะไรตาบอด แล้วไม่ยอมคลาทั่ว ๆ ก็เลยกลายเป็นว่าตาบอด คลาช้าง
เหมือนความดีในเร่ืองเดียวกันที่เรามองคนละมุม แล้วก็ถกเถียงกันทะเลาะกัน ปัญหาก็ตามมา วุ่นวายไปหมด เขาเล่าให้ฟัง ทาไมเราไม่ทาให้เป็นตาดีล่ะ ทาไมเราต้องเป็นคนตาบอดตามเขา เขาสอนมา เพื่อว่า เขาพูดเรื่องนี้เพื่ออะไร เพื่อให้เราเปิดใจให้กว้าง พร้อมที่จะรับรู้อย่าปิดหูปิดตาอย่างเดียว จงเปิดหู