Page 177 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การดูสภาพจิต
P. 177
การสังเกตสภาพจิตตนเอง เริ่มต้นด้วยการสังเกตสภาพจิต
บางที คอื ถา้ เราหลบั ตาลงแลว้ ยงั ไมด่ อู ะไรเลย ใหส้ า รวจจติ ใจตวั เองดกู อ่ น วา่ นงั่ แลว้ รสู้ กึ ...พอมา สารวจสภาพจิตใจดูตรงไหน ให้มารู้ที่บริเวณหทยวัตถุก่อน ตรงนั้นจะง่าย เพราะเราจะรู้สึกได้ดีว่า มีความ หนาแน่น มีความเบา มีความมั่นคง มีความสุข มีความสงบ แต่ไม่ใช่ไปบังคับ แค่สังเกตดูเฉย ๆ ว่ารู้สึก อย่างไร แต่ถ้ารู้สึกสบาย ๆ นิ่ง ๆ ตรงนั้นคือเห็นสภาพจิตรู้สึกนิ่ง ๆ สบาย ๆ รู้สึกถึงความสบาย ความ นิ่งนั้น แล้วเขาเปลี่ยนอย่างไร ถ้ารู้สึกเข้าไปในความสบาย ในความนิ่งนั้น...ไม่เปลี่ยน แต่พอนิ่งสักพักมี ความคิดปรากฏขึ้นมาชัดเจน นั่นแหละคือสภาวธรรมเกิดขึ้นแล้ว เมื่อมีสภาวธรรม มีความคิดเกิดขึ้น ก็ เข้าไปกาหนดความคิดก่อน อาการความนิ่งความรู้สึกสบาย ๆ นิ่ง ๆ นี่นะไม่เป็นไร ให้ไปรู้อาการเกิดดับ ของความคิด
ใช้ความรู้สึกที่นิ่ง ๆ สบาย ๆ นี้แหละ ตามกาหนดรู้อาการเกิดดับของความคิด ด้วยความรู้สึกที่ นิ่ง ๆ สบาย ๆ แต่ไม่ใช่นิ่งดูเฉย ๆ ไกล ๆ ตามกาหนดรู้ว่า อาการของความคิดที่เกิดขึ้น เกิดดับในลักษณะ อยา่ งไร กา หนดร.ู้ ..พอความคดิ หมดไป กลบั มาดสู ภาพจติ ทรี่ สู้ กึ นงิ่ ๆ สบาย ๆ อกี กลบั มาดสู ภาพจติ ตรงนี้ รู้สึก...จากที่นิ่ง ๆ สบาย ๆ ก็ตั้งมั่นขึ้นหนักแน่นขึ้น พอหนักแน่นขึ้น สังเกตอีก พอความคิดหมดไป มี อาการอะไรปรากฏเกดิ ขนึ้ มา สงั เกตแบบนี้ คอยพจิ ารณาแบบนี้ จะเหน็ สภาวะทเี่ กดิ ขนึ้ ทเี่ ปน็ อารมณป์ จั จบุ นั ตามความเป็นจริงที่กาลังปรากฏเฉพาะหน้า นั่นคือสภาวธรรมที่ผู้ปฏิบัติโยคีต้องใส่ใจ
อนั นนั้ เปน็ สภาวะอารมณป์ จั จบุ นั จรงิ ๆ ทเี่ ราไมต่ อ้ งไปสรา้ ง ไมต่ อ้ งพยายามใหเ้ ปน็ แตก่ จ็ ะปรากฏ เกิดข้ึนมาให้รู้ให้เห็น อย่างไรก็เกิดขึ้น เพราะจิตต้องทาหน้าที่รู้อารมณ์อยู่ตลอดเวลา จะต้องมีสภาวะ มี อารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งให้จิตรับรู้เสมอ และเมื่อไหร่ก็ตาม จิตรับรู้อารมณ์ไหน นั่นคือสภาวธรรมที่เกิด ขึ้น ไม่ว่าจะรู้ความว่าง รู้ความหนัก รู้ความเบา รู้ความเย็น รู้ความสุข รู้ความสงบ รู้ความเบิกบาน รู้ความ ผ่องใส รู้ความขุ่น รู้ความมัว รู้ความสลัว รู้ความง่วง นั่นก็คือสภาวะที่เกิดขึ้น ที่กาลังปรากฏเกิดขึ้นอยู่ จริง ๆ ณ ขณะนั้น ซึ่งเป็นอารมณ์ที่เป็นปัจจุบันขณะ
และอารมณท์ กุ อารมณ์ กเ็ ปน็ อารมณว์ ปิ สั สนา เปน็ อารมณก์ รรมฐานได้ เมอื่ เรามเี จตนาเขา้ ไปกา หนดรู้ ถ งึ ก า ร เ ก ดิ ข นึ ้ ต งั ้ อ ย ด่ ู บั ไ ป ข อ ง อ า ร ม ณ น์ นั ้ ๆ เ พ ร า ะ ฉ ะ น นั ้ ห น า้ ท เี ่ ร า เ ร า เ จ ร ญิ ว ปิ สั ส น า ก ร ร ม ฐ า น จ งึ ต อ้ ง ใ ส ใ่ จ ไม่ว่าจะเป็นภาพนิมิตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมา ภาพต่าง ๆ ที่ปรากฏขึ้นมาในขณะท่ีเรานั่งกรรมฐาน ภาพคน ต้นไม้ แม่น้า ภูเขา ไม่ว่าจะเป็นอาคารสถานที่ต่าง ๆ นั่นคือเป็นนิมิตที่เกิดขึ้น เราก็กาหนดรู้ดูว่า ภาพนิมิต ที่ปรากฏขึ้นมานั้น เกิดแล้วดับอย่างไร มีแล้วหมดแบบไหน หายอย่างไร คือรู้การเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปของ ภาพ ของอารมณ์ ของสภาวธรรมที่เกิดขึ้น เน้นตัวนี้เป็นสาคัญ
เพราะนั่นคือการที่เรากาหนดรู้อาการพระไตรลักษณ์ นั่นคือวิธีการที่จะพัฒนาสติสมาธิปัญญาให้ แก่กล้าขึ้นมา ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป และการเกิดดับยิ่งชัด ก็จะเห็นว่าอาการเกิดดับ ๆ ชัด จิตที่ทาหน้าที่ รู้ เกิดดับไปด้วยหรือเปล่า ก็จะชัดตามไปด้วย เห็นจิตดับ เห็นอาการดับ จิตดับ ตรงนี้ก็จะชัดไปด้วยเช่น เดยี วกนั เพราะฉะนนั้ วธิ กี ารปฏบิ ตั ิ ควรใสใ่ จควรสงั เกตใหแ้ ยบคาย สว่ นมมุ ไหนทเี่ รามองขา้ มไป เมอื่ เรามา
697