Page 212 - พระอาจารย์เทศน์เนื่องในโอกาสวันสำคัญทางพุทธศาสนา
P. 212

208
มีแต่พระพุทธองค์ทรงตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า “รูปที่กาลังนั่ง อยู่นี่ รูปนี้เที่ยงหรือไม่เที่ยง ? มีความเปลี่ยนแปลงไหม ? เป็นทุกข์หรือ เป็นสุข ? เกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่อย่างนี้ตลอดไปไหม หรือเกิดขึ้นแล้วดับไป ? รูปนี้เป็นอัตตาหรือเป็นอนัตตา ?” ถ้าไม่สามารถกาหนดรู้ถึงความเป็น คนละส่วนระหว่างรูปกับนาม ถ้าไม่เคยเห็นจิตกับกายว่ามีความแตกต่าง กันอยา่งไรถึงมีคาถามแบบนี้เกดิขึ้นมาเราก็จะคิดว่าเป็นของเราอยู่เสมอ เพราะอะไร ? เพราะยังไม่เคยเห็น/ไม่ได้พิจารณาดูว่าระหว่างรูปกับนาม มีความแตกต่างกันอย่างไร แยกกันได้อย่างไร อันนี้ส่วนหนึ่ง
และอีกส่วนหนึ่งก็คือว่า คาถามเหล่านี้แหละเป็นการจุดประกาย เป็นการชี้ทาง เป็นการบอกทาง ที่บอกว่าลองสังเกตดู ให้พิจารณาดูว่า รูปกับนาม/กายกับจิต เป็นส่วนเดียวกันหรือคนละส่วนกัน เมื่อพิจารณา กา หนดรแู้ ละเหน็ วา่ รปู เปน็ คนละสว่ นกบั จติ กจ็ ะเหน็ ชดั วา่ รปู ทนี่ งั่ อยบู่ อก ว่าเป็นเราไหม เป็นของเที่ยงหรือไม่เที่ยง อันนี้จะพิจารณาได้ง่ายขึ้น เมอื่ พจิ ารณาแบบนี้ จงึ ถามวา่ รปู ทนี่ งั่ อยเู่ ปน็ อตั ตาหรอื อนตั ตา ขณะทถี่ าม ว่า “รูปที่นั่งอยู่บอกว่าเป็นเราไหม มีตัวตน/มีความรู้สึกว่าเป็นเราเป็นของ เรา หรือเป็นแค่รูปรูปหนึ่งที่ตั้งอยู่ ?” ถามเพิ่ม พวกเราก็พิจารณาเพิ่ม
ถ้าถามว่าเป็นอัตตาหรืออนัตตา บางครั้งไม่ชัดเจนหรือไม่เข้าใจ แต่พิจารณาว่ามีตัวตน/บอกว่าเป็นเราไหม มีความรู้สึกว่าเป็นเราเป็นเขา เป็นใครหรือเปล่า หรือเห็นแค่เพียงว่าตัวที่นั่งอยู่เป็นแค่รูปรูปหนึ่ง เป็น สิ่งสิ่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ แล้วใครเป็นผู้ดูรูปที่นั่งอยู่ ? ก็คือจิตที่ทาหน้าที่รู้รู้ถึง รปู ทนี่ งั่ อยู่ แลว้ ถามวา่ จติ ทที่ า หนา้ ทรี่ ถู้ งึ รปู ทนี่ งั่ อยู่ จติ ตรงนนั้ บอกวา่ เปน็ เราเป็นเขาเป็นใครหรือเปล่า หรือเป็นแค่ความรู้สึกที่ทาหน้าที่รู้ เป็นแค่ตัว วิญญาณรู้ เป็นแค่จิตที่ทาหน้าที่รู้ ? เพราะฉะนั้น การพิจารณาแบบนี้เรา


































































































   210   211   212   213   214