Page 213 - พระอาจารย์เทศน์เนื่องในโอกาสวันสำคัญทางพุทธศาสนา
P. 213

จะเหน็ ถงึ วา่ คา ถามวา่ “เปน็ อตั ตาหรอื อนตั ตา” นนั้ กจ็ ะมคี วามชดั เจนมาก ขึ้น เพราะอะไร ?
เพราะปัญญาพิจารณาเห็นชัดถึงธรรมชาติของรูปนาม ที่เคย เข้าใจผิดหลงผิดมาตลอดว่ารูปนามอันนี้เป็นตัวเราของเรานั้นมลายสลาย ไป ด้วยการใช้สติเข้าไปพิจารณากาหนดรู้ถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นตาม ที่พระองค์ทรงชี้ทางให้เราได้พิจารณา เมื่อเห็นรูปกับนามเป็นคนละส่วน กัน ไม่มีอะไรเป็นของเรา รูปไม่ได้บอกว่าเป็นของเรา จิตที่ทาหน้าที่รู้ไม่ได้ บอกว่าเป็นของเรา สิ่งหนึ่งที่พึงพิจารณาก็คือว่า การที่ได้กาหนดรู้ได้เห็น ความจริงตรงนี้ในเบื้องต้น เห็นถึงความเป็นคนละส่วนในลักษณะอย่างนี้ แล้ว พิจารณาดูว่าสภาพจิตใจ/ผลที่ตามมาเป็นอย่างไร ต่างจากการที่เห็น ว่ารูปนามนี้เป็นตัวเราเป็นของเราอย่างไร
การที่เข้าใจว่ารูปนามอันนี้เป็นตัวเราเป็นของเรา กับการเห็นว่า รูปนามอันนี้ไม่ได้บอกว่าเป็นตัวเราของเรา/เป็นของใคร เป็นคนละส่วน กัน นั่นหมายถึงว่าเราพิจารณาถึงขันธ์ห้าที่แยกจากกันเป็นสองขันธ์แล้ว รูปขันธ์กับวิญญาณขันธ์ เห็นถึงความเป็นคนละส่วนนี้ นี่คือการเริ่มเห็น สจั ธรรมตามคา สอนขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ แลว้ จะพจิ ารณา ต่อไปอีกอย่างไร ? พิจารณาต่อไปอีกก็คือ แล้วเวทนาขันธ์อยู่ตรงไหน ? สัญญาขันธ์เป็นอย่างไร ? สังขารขันธ์นั้นเป็นอย่างไร ? คาว่าเวทนาขันธ์ คือความรู้สึกที่เป็นความทุกข์ความสุข เวทนาทางจิต เป็นความสุข ความ อึดอัด ความเร่าร้อน ความขัดเคือง ความขุ่นมัว อันนี้คือเวทนาทางจิต
แลว้ เวทนาทางกายเปน็ อยา่ งไร ? เวทนาทางกาย คอื เจบ็ ปวด เมอื่ ย ชา และคัน ทีนี้ พิจารณาอย่างไรถึงจะเห็นความเป็นคนละส่วน เป็นการ แยกขันธ์ออกไป ? การพิจารณาอย่างหนึ่งก็คือ เริ่มพิจารณาดูว่า “เวทนา
209


































































































   211   212   213   214   215