Page 94 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การพิจารณาหัวข้อธรรม
P. 94

954
เมื่อมีความทุกข์เกิดขึ้นมาอีก ก็จะไม่ยึดเอาความทุกข์มาเป็นของเรา จะเข้าใจได้ และก็จะปล่อยให้ ความทกุ ข์ ความทกุ ขใ์ จ เวทนาทางจติ นนั้ ดบั ไป ตามเหตปุ จั จยั ของตน หรอื ดกี วา่ นนั้ เมอื่ เหน็ ชดั แบบนแี้ ลว้ รู้ว่าวิธีการที่จะดับเวทนาทางจิต คลายอุปาทาน ดับความทุกข์ทาอย่างไร ก็สามารถยกจิตขึ้นมา แล้วดับ เวทนานั้นไปได้ ขยายจิตให้กว้าง ไม่มีตัวตน ไม่มีเรา ทาความรู้สึกให้กว้างกว่าตัว ใหญ่กว่าอารมณ์ เวทนา นั้นก็จะคลายไป ดับไป หรือมีความหนัก ความอึดอัด ความไม่สบายใจเกิดขึ้น แค่ขยายความรู้สึกที่อึดอัด ความไม่สบายนั้นให้ใหญ่ ให้ไกลจากตัวออกไป ให้กว้างกว่าตัว ความทุกข์นั้นก็ดับแล้ว
นั่นคือ การดับทุกขเวทนาทางจิต เพราะตัวจิตเองไม่มีรูปร่าง แต่เป็นความรู้สึก ที่สามารถรู้สึกได้ เพราะฉะนั้น อะไรที่จะเกาะเกี่ยวอยู่กับจิตที่ว่าง จะเป็นไปได้ยาก...ถ้าของหนัก...ถ้ามีปัญญา เราก็จะละ หรือคลายอุปาทาน ดับความทุกข์ได้ง่าย พระพุทธเจ้าสอนให้เราดับทุกข์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องทุกข์ เหตุ ให้เกิดทุกข์ และวิธีดับทุกข์ เพราะฉะนั้น เมื่อมีความทุกข์เกิดขึ้นมา ก็ควรที่จะดับให้เร็ว ละให้ไว เพื่อที่จะ ทาจิตใจเกิดมีความสงบ ความอิสระมากขึ้น นี่คือการกาหนดรู้เวทนาที่เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น เวลาเจริญกรรมฐาน หรือในชีวิตประจาวันของเรา ในอิริยาบถต่าง ๆ ก็ตาม ถ้าเรา มีเจตนาในการเจริญกรรมฐานแบบนี้ เป็นตัวตั้ง มีปัญญารู้ ปรารถนาหรือมีเจตนาที่จะเข้าไปกาหนดรู้ ถึง การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ถึงกฎไตรลักษณ์ ของอารมณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้ว ย่อมจะละ จะวาง ดับอารมณ์เหล่า นั้นได้ง่าย...ไม่ยาก เพราะอารมณ์ที่เกิดขึ้น ความทุกข์ที่เกิดขึ้น เวทนาทางจิตที่เกิดขึ้น ก็เป็นจิตดวงหนึ่งที่ เกิดขึ้นมาทาหน้าที่ โดยอาศัยเหตุปัจจัย อาศัยผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดขึ้น แล้วก็มีเวทนาขึ้น มา แล้วก็ดับไป มีเวทนาขึ้นมาทาหน้าที่ ให้เราได้รู้ รู้แล้วก็ดับไป ไม่ใช่ของเรา ไม่ได้เป็นตัวเรา เป็นของเรา อันนี้ไม่ว่าจะเป็นเวทนาทางกาย หรือทางจิตก็ตาม ย่อมเป็นอยู่อย่างนี้ เป็นเรื่องปกติธรรมดา
แตถ่ า้ เราเอาเวทนานนั้ มาเปน็ อารมณก์ รรมฐาน เพอื่ ศกึ ษากฎไตรลกั ษณ์ ตามคา สอนขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จะทา ใหส้ ติ สมาธิ ปญั ญา แกก่ ลา้ ขนึ้ และทา ใหจ้ ติ หลดุ ออกจากวงจร ไมถ่ กู ครอบงา ไมใ่ หเ้ วทนาทางกายนนั้ เบยี ดเบยี น ไมถ่ กู ครอบงา ดว้ ยอวชิ ชา ทา ใหเ้ ราเขา้ ใจผดิ ไปยดึ เอาวา่ เวทนานนั้ เปน็ ตวั เราของเรา แลว้ กแ็ บกความทกุ ขใ์ นชวี ติ ตอ่ ไปเรอื่ ย ๆ นคี่ อื จดุ สา คญั อยา่ งหนงึ่ เพราะฉะนนั้ ในการเจรญิ กรรมฐาน ทบี่ อกวา่ กาย กา หนดรู้ ตามรอู้ าการทางกาย เรยี กวา่ กายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน แลว้ กต็ ามรอู้ าการ เวทนาทางกาย ที่เรียกว่าเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จริง ๆ แล้ว ต้องกาหนดรู้ ทั้งทางกายและทางจิต
เวทนาทางจิตอีกอย่างหนึ่ง ที่จะทาให้จิตเรามีพัฒนามากขึ้น และดีขึ้นด้วย ก็คือเมื่อเวทนา ทุกขเวทนาดับไป เหลืออะไร เปลี่ยนจิตเป็นเวทนาแบบไหน เป็นความสงบ เป็นความโล่ง เป็นความโปร่ง เป็นความเบาเกิดขึ้นมา เป็นสุขเวทนา เป็นอุเบกขาเวทนา เป็นโสมนัสเวทนา มีความรู้สึกสบาย รู้สึกผ่องใส เบิกบานขึ้นมา มีปีติเกิดขึ้นมา ก็สามารถเข้าไปกาหนดรู้จิตที่ผ่องใส จิตที่ว่าง จิตที่เบา จิตที่มีความสุขอีก เข้าไปกาหนดรู้อย่างไร ตรงนี้กลายเป็นการดูเวทนาทางจิต ก็เป็นการดูจิตในจิต
เข้าไปรู้จิตที่ว่าง ที่เบา ที่สงบแล้วว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร การยิ่งเข้าไปรู้ถึงจิตที่ว่าง ที่สงบ ที่มีการเปลี่ยนแปลง คือการพัฒนาจิต ทาไมถึงมีการพัฒนาจิต เพราะการที่เรามีเจตนาเข้าไปรู้ ถึงการ


































































































   92   93   94   95   96