Page 229 - ธรรมปฏิบัติ 2
P. 229

205
แล้วเขาเป็นธรรมชาติ และกาลังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เราอาศัยรูปนาม อันนี้มาเป็นเครื่องมือในการศึกษาตามคาสอนของพระพุทธเจ้า พิจารณาถึง ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือพิจารณาอาการพระไตรลักษณ์ รู้ถึง การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และยิ่งเราเห็นการเปลี่ยนแปลง เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ด้วยสติปัญญา ด้วยการพิจารณาโดยแยบคาย ก็จะทาให้ใจ เราคลายจากอุปาทานโดยอัตโนมัติ ยิ่งเห็นจิตยิ่งว่าง ยิ่งเห็นจิตยิ่งห่าง ยิ่ง มีช่องว่างระหว่างจิตกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น ที่เขากาลังเป็นไปอยู่เนือง ๆ และ เมื่อเห็นช่องว่างระหว่างจิตกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น จิตยิ่งว่าง ยิ่งกว้าง ยิ่งอิสระ
ทาไมถึงรู้สึกว่าจิตอิสระ ? เพราะไม่ถูกพันธนาการด้วยตัวโมหะ นั่นเอง เพราะไม่เข้าไปหลงยึดว่ารูปนี้เป็นของเรา เสียงที่ได้ยินมีเราทาหน้าที่ รับรู้ มีแต่เพียงจิต หรือตัววิญญาณทาหน้าที่รู้ ที่เขาเรียกว่ามีแต่ “ธาตุรู้” กับ “อารมณ์ที่ปรากฏขึ้นมาให้รับรู้” ไม่ว่าจะเรียกว่า ธาตุรู้ วิญญาณรู้ สติรู้ ใจรู้ ก็คือ “ตัวรู้” นั่นเอง ทาหน้าที่รับรู้ ไม่ได้บอกว่าเป็นเรา และถ้าสติมีกาลังมาก แม้แต่ตัวรู้เอง ก็จะอิสระ และกว้างไกล ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ไม่มีจุด ไม่มีตาแหน่ง มีแต่จิตรู้ที่ว่างทาหน้าที่รู้ นั่นคือความพิเศษ
เพราะฉะนั้น การพิจารณาธรรมให้เห็นตามความเป็นจริง เมื่อเรา เห็นว่าอะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุให้เกิดทุกข์ แล้วจะปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ อย่างไร ? เมื่อเรารู้วิธีการดับทุกข์ ก็เรียกว่า เราก็รู้แนวทาง หรือรู้จักมรรค นั่นเอง มีศีล สมาธิ ปัญญา รู้แนวทางในการดับทุกข์ ถามว่า ตัวไหนที่ดับ ทุกข์ได้ ? เราจะเห็นชัดก็ด้วย “การเจริญสติ” ย่อลงมาก็เหลือแต่ตัวสติตัว เดียว มีสติและใส่ใจที่จะรู้ให้ชัด รู้ตามความเป็นจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น ตรงนี้ แหละจะทาให้จิตเราคลายจากอุปาทาน เมื่อเราพิจารณาอย่างนี้ได้ ก็จะได้ชื่อ ว่าเราเจริญรอยตามพระพุทธเจ้า ดาเนินไปเพื่อความดับทุกข์ ดาเนินไปเพื่อ ความสิ้นสุด หลุดพ้นจากวัฏสงสาร
เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเดินตามรอยพระพุทธเจ้า รู้แนวทางในการเดิน


































































































   227   228   229   230   231