Page 227 - ธรรมปฏิบัติ 2
P. 227

203
หลานของใคร ? หลานของฉัน! ทั้ง ๆ ที่บอกว่าเรื่องของฉัน ฉันไม่ยึด แล้ว เพราะเอาหลานมาเป็น “ของฉัน” ไง ของคนอื่นเสียที่ไหนล่ะ ก็ “ของ ฉัน” เหมือนเดิม! เลยทุกข์กับสิ่งนั้นอีก ชีวิตของหลานก็ให้หลานไป จะได้ ทาใจได้ จะได้เข้าใจ
พระพุทธเจ้าตรัสถามภิกษุว่า ความทุกข์ใครเป็นคนทาให้ ? พระ ภิกษุบางรูปตอบว่าความทุกข์เราเป็นคนทาเอง พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ บางรูป ก็บอกว่าคนอื่นเป็นคนทาให้ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าไม่ใช่ พระภิกษุบางรูป ก็บอกว่า ทั้งตัวเราเองและคนอื่นเป็นคนทาให้ทุกข์ พระพุทธเจ้าก็บอก ว่าไม่ใช่... คนอื่นก็ไม่ใช่ ตัวเราเองก็ไม่ใช่ ทั้งตัวเราเองและคนอื่นก็ไม่ใช่ แล้วอะไรทาให้ทุกข์ ? พระพุทธเจ้าบอกว่า เพราะ “ความไม่รู้หรืออวิชชา” นั่นเอง ไม่รู้อะไร ? ไม่รู้ว่ารูปนี้ไม่ใช่ของเรา เวทนาไม่ใช่ของเรา สัญญาไม่ใช่ ของเรา สังขารไม่ใช่ของเรา วิญญาณไม่ใช่ของเรา รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ลักษณะที่เสมอกันแก่สังขารทั้งปวง ก็คือ ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัยอยู่เนืองนิตย์ สังเกตไหมว่า พระพุทธเจ้าไม่โทษใครเลย โทษ ตัวเดียว “เพราะความไม่รู้” เพราะอวิชชาตัวเดียวจึงทาให้เราเวียนว่าย ตายเกิดไม่มีจุดสิ้นสุด เกิดแล้วเกิดอีก ตายแล้วตายอีก ภพหน้าชาติหน้า อันนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาเป็นมนุษย์ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ภพภูมิในปัจจุบัน จิตของเราที่เสพอารมณ์แล้ว ทุกข์แล้วทุกข์อีก ก็เรื่อง เดิม ๆ จิตมารับรู้อารมณ์นี้ เขาเกาะเกี่ยวอยู่สักพักแล้วก็ดับไป หายไป พอ เกิดใหม่อีก ทุกข์อีก! ทุกข์ดับไป เกิดทุกข์ เกิดทุกข์... เกิดแล้วเสพอารมณ์ นั้นอยู่ เวียนว่ายตายเกิด ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเกิดแล้วไม่ พิจารณาด้วยสติด้วยปัญญา
เพราะฉะนั้น พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ธรรมชาติเขา


































































































   225   226   227   228   229