Page 10 - ตัวอย่างการใช้ตรรกะในการแก้ปัญหา
P. 10

รอบที่ 10 ตอนนี้ต้นน้ าเหลือเงินส าหรับซื้อนมได้เพียง 1 ขวดเท่านั้น ต้นน้ าจึงซื้อนม 1 ขวด (ขวดที่ 20) แต่ตอนนี้

               ต้นน้ ามีขวดเปล่าเพียง 2 ขวดเท่านั้น ถึงแม้จะรวมขวดฟรีจากรอบที่ 10 แล้วก็ตาม ท าให้ต้นน้ าไม่สามารถน าขวด
               เปล่าไปแลกนมได้อีก













               เมื่อนับรวมจ านวนขวดนมที่ต้นน้ าดื่มทั้งหมด รวมขวดที่แลกฟรีด้วยแล้ว จะได้ 20 ขวดแรกเป็นนมที่ต้นน้ าสามารถ

               ซื้อได้ด้วยเงินที่มีอยู่ รวมกับ 9 ขวดที่ต้นน้ าใช้ขวดเปล่าแลกฟรีมา ทั้งหมด 29 ขวดด้วยกัน
                       จากตัวอย่างของต้นน้ าผู้ชื่นชอบการดื่มนม แสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องที่จะต้องหาข้อสรุปว่าจะได้ดื่มนม

               ทั้งหมดเท่าไร โดยน าขวดฟรีและขวดที่เสียเงินมาเป็นเหตุ ประกอบกับเงื่อนไขที่โจทย์ก าหนด ท าให้ได้ผลลัพธ์เป็น

               จ านวนนมทั้งหมดที่ต้นน้ าได้ดื่ม เป็นการคิดอย่างมีเหตุผลเพื่อหาข้อสรุปให้ได้ที่สามารถพบได้ในชีวิจประจ าวัน โดย
               ที่ไม่ต้องใช้ตารางทางตรรกศาสตร์

                       ตัวอย่างต่อไปก็เช่นกัน เป็นการหาข้อสรุปจากข้อมูลและเงื่อนไขที่มีอยู่ อาจจะเคยพบโจทย์ลักษณะนี้มา

               บ้างแล้ว โจทย์ที่ต้องการข้อสรุปว่าสุดท้ายแล้ว ใครพูดจริงหรือพูดโกหก และใครเป็นบุคคลไหน



                  ตัวอย่าง : ใครเป็นใครกันแน่นะ
                       จากวงสนทนาภายในห้องที่มืดสนิทไร้แสงไฟมีคน 3 คนพูดคุยกัน ดังนี้

               A :ผมไม่ใช่ต ารวจ

               B :ผมไม่ใช่โจร
               C :ผมไม่ใช่ประชาชน

               โดยทั้ง 3 คนต่างก็รู้เงื่อนไขของสังคมนี้ดีกว่า ต ารวจจะพูดแต่ความจริง โจรจะพูดโกหกอย่างเดียว และประชาชน

               จะพูดทั้งจริงและโกหก เราจะต้องหาข้อสรุปว่า A B C นั้น ใครเป็นโจร ต ารวจ และประชาชน
                       เริ่มที่ค าพูดของ A ก่อนคือ “ผมไม่ใช่ต ารวจ” ต ารวจจะพูดแต่ความจริง ดังนั้นถ้าต ารวจพูดว่า “ผมไม่ใช่

               ต ารวจ” จะเป็นการพูดโกหก ดังนั้น A จึงไม่ใช่ต ารวจแน่นอน ถ้าสมมุติให้ A เป็นโจรก็ขัดกับนิสัยของโจร เพราะ
               โจรจะพูดว่า “ผมไม่ใช่ต ารวจ” ไม่ได้ เพราะจะท าให้ถูกมองว่าเป็นโจร ดังนั้นA จึงมีความน่าจะเป็นที่จะเป็น

               ประชาชนมากที่สุดเมื่อสันนิษฐานให้ A เป็นประชาชนไปแล้ว ค ากล่าวของ C ว่า “ผมไม่ใช่ประชาชน” จึงเป็น

               ข้อความที่เป็นความจริง เมื่อ C พูดความจริงละคนที่พูดความจริงมีเพียงต ารวจเท่านั้น C จึงเป็นต ารวจ ต่อมาก็
               เหลือเพียง B เท่านั้น ดังนั้น B จึงเป็นโจรสรุปสถานะแต่ละคนได้ว่า A เป็นประชาชน B เป็นโจร และ C เป็นต ารวจ





                   บทที่ 2 ขั้นตอนการคิดและการแก้ปัญหาเชิงตรรกะ                                        หน้า 10
   5   6   7   8   9   10   11   12   13   14   15