Page 36 - Bang rak
P. 36

29




                         ต่อมาจึงได้ร่วมกันสร้างวัดขึ้นตามวิสัยอันดีงามเช่น บรรพบุรุษชาวพุทธทั้งหลาย และให้
                       ชื่อว่า วัดวัวล าพอง ตามความนิยมที่ชื่อของวัดจะพ้องกับชื่อหมู่บ้าน เพราะชาวบ้านกับวัดส่วนใหญ่
                       ของไทยเรามักมีชื่อเหมือนกันหรือมีความหมายเดียวกันปีรัตนโกสินทร์ศก   109ตรงกับปีพ.ศ. 2433
                       พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่  5 หรือที่ประชาชนทั่วประเทศพร้อมใจกันขนาน

                       พระนามพระองค์ท่านว่า สมเด็จพระปิยมหาราช ซึ่งเป็นยุคทองของการพัฒนาประเทศชาติในระบบ
                       ใหม่ ได้ทรงสร้างทางรถไฟขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย คือจากสถานีกรุงเทพมหานครขึ้นไปบริเวณ
                       นอกเมืองใกล้กับคูเมืองชั้นนอกคือคลองผดุงกรุงเกษม พระราชทานนามว่าสถานีหัวล าโพง ซึ่งอยู่ห่าง
                       จากวัดวัวล าพอง ประมาณ 2 กิโลเมตรประมาณปี พ.ศ. 2447ราวเดือนตุลาคมหรือเดือนพฤศจิกายน

                       ซึ่งเป็นฤดูกาลทอดกฐิน จากหลักฐานและค าบอกเล่านั้นว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
                       รัชกาลที่  5 ได้เสด็จพระราชด าเนินไปทอดพระกฐินในครั้งนั้น วัดหัวล าโพง ตั้งอยู่เลขที่  728 ถนน
                       พระรามที่ 4 แขวงสี่พระยา เขตบางรัก วันเดียวกันถึง 3วัด ตามล าดับดังนี้ คือ วัดสามจีน (วัดไตรมิตร
                       วิทยาราม) วัดตะเคียน (วัดมหาพฤฒาราม วรวิหาร) และวัดวัวล าพอง(วัดหัวล าโพง)ในการเสด็จพระ

                       ราชด าเนินทอดผ้าพระกฐินที่วัดวัวล าพองนั้นได้โปรดเกล้า โปรดกระหม่อม  ให้เปลี่ยนชื่อวัดเสียใหม่
                       พระราชทานนามว่า วัดหัวล าโพงและทรงโปรดเกล้า โปรดกระหม่อม พระราชทานแต่งตั้งสมณะศักดิ์
                       เจ้าอาวาสคือ พระอาจารย์สิงห์ ซึ่งเป็นพระวิปัสสนาธุระที่มีชื่อเสียงองค์หนึ่งในครั้งนั้น เป็นพระครู

                       สัญญาบัตรที่พระครูญาณมุนี นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นหาที่สุดมิได้นับแต่นั้นมาด้วยเด
                       ชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์ไทย อันมีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ผู้ทรง
                       วางรากฐานความเป็นมิ่งมงคล และทรงประกอบคุณงามความดีตามหลักพรหมวิหารให้เป็นที่ประจักษ์
                       แก่คณะสงฆ์และอุบาสกอุบาสิกา จึงได้ร่วมกันท านุบ ารุงพระบวรพุทธศาสนา สร้างถาวรวัตถุให้เจริญ
                       ยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการสนองพระมหากรุณาธิคุณต่อพระองค์ท่าน

                         วัดหัวล าโพง อันเป็นนามพระราชทานเป็นนามมิ่งมงคลก็ประสบความเจริญรุ่งเรืองมา
                       โดยตลอด  บูรณปฏิสังขรณ์  ถาวรวัตถุเดิมเพิ่มเติมถาวรวัตถุใหม่ให้เป็นศรีสง่าแก่พระศาสนาวัดหัว
                       ล าโพง มีที่ดินประมาณ 20 ไร่ ซึ่งในระยะแรกมีเนื้อที่ประมาณ 7 ไร่ ต่อมานายท้วม พุ่มแก้ว ซึ่งมีที่ดิน

                       ติดกับเขตวัดด้านถนนพระรามที่ 4 ถวายที่ดินส่วนนั้นให้แก่วัด ประมาณ 6 ไร่ และนางสาวลออ หลิม
                       เซ่งไถ่ ได้ถวายพินัยกรรมเป็นที่ดินอีกจ านวน 7 ไร่ 1 งาน 88 ตารางวา (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงเรียน
                       พุทธจักรวิทยา) ปัจจุบันวัดหัวล าโพงมีที่ดินตั้งวัดและที่ธรณีสงฆ์ คือโฉนดเลขที่ 31734เนื้อที่ 12 ไร่ 2
                       งาน 88 ตารางวา โฉนดเลขที่  2327 เนื้อที่ 7 ไร่ 2 งาน 88 ตารางวา โฉนดเลขที่  1973เนื้อที่ 3 งาน

                       81 ตารางวา โฉนดเลขที่  3419 เนื้อที่  2 งาน 79 ตารางวา โฉนดเลขที่ 1972 เนื้อที่  99 ตารางวา
                       โฉนดเลขที่  3123 เนื้อที่ 69 ตารางวาวันที่  18 กรกฎาคม พ.ศ. 2545วัดหัวล าโพงได้รับพระกรุณา
                       โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยกฐานะวัดขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้น
                       ตรีชนิดสามัญ

                                 กล่าวโดยสรุปวัดหัวล าโพงความเป็นมาของวัดนี้มีผู้รู้ประมวลไว้ โดยอาศัยจากการเล่า
                       ต่อ ๆ กันมาว่าในปี พ.ศ.  2310  กรุงศรีอยุธยาถูกพม่าท าลายเผาผลาญบ้านเมือง ตลอดวัดวาอาราม
                       จนในที่สุดได้เสียกรุงแก่ข้าศึก เมื่อวันที่   1   เมษายน  2310ซึ่งเป็นการเสียกรุงครั้งสุดท้ายใน
                       ประวัติศาสตร์ การสงครามครั้งนี้ประชาชนเสียขวัญและได้รับความเดือดร้อนบางพวกไม่สามารถที่จะ

                       อาศัยอยู่ถิ่นเดิมต่อไปได้ จึงอพยพครอบครัวลงมาทางใต้ตั้งถิ่นฐานที่ บริเวณวัดหัวล าโพงในปัจจุบัน
   31   32   33   34   35   36   37   38   39   40   41