Page 180 - หนังสือเมืองลับแล(ง)
P. 180
ในเดือน ๗ ออก๒ ค่ำ วัน ๔ ไทเปิกสี ยามแตรค่ำ ไว้ลัคนาราศีดุลย์ ลวงแป ๑๕๐๐ วา ลวงขื่อ ๗๐๐ วา
ประตูยางเถื่อน ๑ ประตูหนองมุด ๑ ประตูเชียงแสน ๑ ประตูท่าม่าน ๑ ประตูดินขอ ๑ มี ๕ ประตู”
้
ดังนั้น เมืองโยนกนครราชธานีไชยบุรีศรีชางแสน / เมืองเหรัญญนครเงินยางเชียงแสน และเมืองเชยง
ี
ิ
แสน จึงเป็นคนละเมือง/ คนละบริบทกัน แต่ก็อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งเมืองโยนกฯ ในตำนานสิงหนวตกุมาร
คือ หนองหล่ม อยู่บริเวณรอยต่อเขตอำเภอเชียงแสนกับอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย, เมืองเงินยาง อยู่
บริเวณอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และเวียงปรึกษา อยู่บริเวณปากแม่น้ำกกใกล้เวียงเชียงแสน ของพระญา
แสนภู
๒.๑.๒ ประวัติเมืองลับแล ได้อ้างถึง พระร่วง ปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ครองพระนคร
สุโขทัย ทรงพระนามว่า พญาศรีจันทราธิบดี เมื่อ พ.ศ. ๑๖๙๐ ซึ่งได้เค้าโครงมาจาก พงศาวดารเหนือ แต ่
พงศาวดารเหนือ บอกว่า พระร่วงได้รับการราชาภิเษกครองเมืองสุโขทัย เมื่อ พ.ศ. ๑๕๐๒ ทำให้เห็นว่า ประวัติ
เมืองลับแล มีความคลาดเคลื่อน
ิ
๒.๑.๓ ประวัติเมืองลับแล ได้อ้างถึง หม่องซิกซิงโบ แม่ทัพพม่า เข้ามาปล้นเสบียงทางทศตะวันตก
เฉียงใต้ของเมืองลับแล คือ ด่านแม่คำมัน บุกเข้าถึงท้องลับแล ตั้งค่ายพักกองทัพอยู่ข้างม่อนจำศีล เมื่อ พ.ศ.
้
ั
๒๓๕๑ แต่ใน ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ได้ปรากฏชื่อแม่ทัพพม่าชื่อ ซิดซิงโป่ ใน พ.ศ. ๒๓๔๐ ไดยกทพมาต ี
ั
เมืองเชียงใหม่ทำให้เห็นว่าข้อความนี้ไม่ตรงกัน ส่วนใน พ.ศ. ๒๓๕๑ ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ มีแม่ทพพม่า
ชื่อ ม่านโป่นะขามหม่องชะ ได้เข้ามาตีเมืองหลวย เมืองยาง เท่านั้น ซึ่งกองทัพพม่าไม่ได้เขามาถึงเขตเมืองลบ
้
ั
แลเลย ส่วนใน พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ได้บอกว่าแม่ทัพพม่าที่นำทัพเข้ามาตีเมือง
เชียงใหม่ใน พ.ศ. ๒๓๔๐ ชื่อ อินแซะหวุ่น หรือ ม่านอิงเซะโป่ ใน ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ส่วนใน พ.ศ.
๒๓๕๑ ใน พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ไม่ปรากฏว่ามีศึกพม่าเขามาในดินแดนไทย ทำให้เห็น
้
ว่า ข้อความตอนนี้ใน ประวัติเมืองลับแล มีความคลาดเคลื่อน
๒.๒ ที่มาของชื่อบ้านนามเมือง
ประวัติเมืองลับแล ได้กล่าวถึงชื่อบ้านนามเมืองที่เกี่ยวข้องกับเมืองลับแล ดังนี้
๒.๒.๑ ลับแล
ใน เรื่องที่ ๓ ปฐมเหตุแห่งหุบเขาลับแล ได้กล่าวถึงที่มาของชื่อลับแล ๒ ประการคือ
ั
ประการที่ ๑ เดิมมีชื่อว่า “ลับแลง” หมายถึง เป็นพื้นที่ลับตอนเย็น ๆ แสงพระอาทิตย์จะลบแสงจากม่อนฤๅษี
(แนวทิวเขาทางทิศตะวันตก) อันเป็นภูเขาสูง
ประการที่ ๒ ได้กล่าวถึงพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาบริเวณพระแท่นศิลาอาสน์ แล้วยืนที่วัดพระยืนพุทธ
บาทยุคล ทอดพระเนตรไปทางทิศเหนือมองไม่เห็นอะไรเลย มืดมัวไปด้วยเมฆหมอก จึงได้ชื่อว่า “ลับแล”
เพราะพระพุทธเจ้าทอดพระเนตรไปมองไม่เห็นสิ่งใด
การวิเคราะห์วรรณกรรมเมืองลับแล
หน้า ๓๐