Page 334 - ธรรมะบรรยาย1525
P. 334
ธรรมะบรรยาย
๑๓๓
๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ท่านเจ้าคุณ พระราชปัญญาวชิโรดม
วันนี้มีความสุขมาก ๆ ปลื้มใจมาก ๆ เบิกบานใจมาก ๆ ประทับใจมาก ๆ รู้ไหม วันนี้มีคนสวด
มนต์กับคณะสงฆ์วัดเทพเจติยาจารย์ ๒,๐๐๘ ท่าน สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ เป็นปรากฏการณ์
่
เกิดขึ้นแล้ว ท่านทั้งหลาย ทานได้ชวนเพื่อนชวนพี่ชวนใคร ๆ มาสวดมนต์นี่ ถือว่าท่านสร้างมหา
กุศลอันยิ่งใหญ่ เพราะในภาวะวิกฤติ โรคระบาดโควิด สิ่งที่จะช่วยเยียวยาใจของท่านได้คือการสวด
มนต์ คือ การนั่งสมาธิ คือการเดินจงกรม หรือศึกษาธรรมะต่าง ๆ แต่ที่ได้ผลเร็วที่สุดก็คือการสวด
มนต์ เพราะการสวดมนต์นั้น จิตของท่านจะต้องจดจ่ออยู่ที่ตัวหนังสือ สวดไปก็จิตจะต้องมีเมตตา
ู้
ปรารถนาดี อยากจะให้ผฟังได้รับความสุข สวดไปก็ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว ไม่วอกแวก นั่นแหละคือจิต
เป็นสมาธิ เมื่อจิตเป็นสมาธิก็เกิดพลังจิต เรียกว่า “ผลิตพลังจิต” การผลิตพลังจิต ก็คือสวดไปอย่าง
ต่อเนื่อง เหมือนอ่านหนังสือต่อเนื่อง ความรู้ก็เกิดขึ้นต่อเนื่อง ถ้าหยุดไม่อ่านต่อความรู้ก็ไม่ต่อเนื่อง
ั้
อ่านต่อความรู้ก็ต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการสวดมนต์ เมื่อท่านทงหลายตั้งใจสวดสวดไม่หยุด มันก็คือ
การผลิตพลังจิต พลังจิตเมื่อมากเข้า ๆ มันก็เกิดกระแสจิต เมื่อกระแสจิตมากเข้า ๆ ก็เกิดปัญญา
เมื่อปัญญามากเข้า ๆ ก็แยกแยะอารมณ์ได้ แล้วท าไมคนในโลกนี้จึงไม่รู้จักแยกแยะอารมณ์ เพราะ
ปัญญาที่เกิดขึ้นนั้น เป็นปัญญายังไม่ได้กรองมาก ถ้ากรองได้ดีแล้ว มันก็แยกแยะอารมณ์ได้ดี
เพราะฉะนั้น การสวดมนต์แต่ละครั้ง ๆ เป็นการสรางสติ สร้างสมาธิ สรางปัญญาให้เกิดขึ้น เมื่อสติ
้
้
สมาธิ ปัญญาเกิดขึ้น
เจ้าประคุณ สมเด็จพระญาณวชิโรดม ท่านพูดบ่อย ๆ ว่า ถ้าวันใดเราไม่ได้ท าความดีไว้ เราก็
จะไม่มีความสุข ถ้าหากว่าเราท าความดี โดยเฉพาะการท าสมาธิ ความสุขก็จะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ
เพราะฉะนั้น การสวดมนต์ก็เป็นความดีอย่างหนึ่ง ความดียังไง ดีตรงที่ไม่ได้ด่าใคร ไม่ได้อิจฉาใคร
ไม่ได้ตบต่อยไม่ได้ตีกับใคร จิตก็เป็นสมาธิ จิตก็สาธยายพระธรรมค าสอนของพระพุทธเจ้าอย่าง
ต่อเนื่อง นี่คือความดี เพราะฉะนั้น เมื่อความดีที่เราสร้างมากเข้า ๆ มันก็จะเพิ่มพูนขึ้น มันก็เลย
กลายเป็นจิตใส จิตใสก็กลายเป็นบุญ จิตขุ่นก็จางหายไป เพราะฉะนั้น จิตขุ่นเราไม่ได้สร้างขึ้นมา
เราสร้างแต่จิตใส เพราะฉะนั้น จิตใสมันเป็นบุญ จิตขุ่นมันเป็นบาป เราไม่ได้สร้างจิตขุ่น สรางแต่จิต
้
ใสให้เกิดขึ้น ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะแสดงบทนี้
๓๓๔