Page 4 - พฤศจิกายน 2564
P. 4

“ พุทธวิถีไทย ”


                            ดร.กฤตสุชิน พลเสน

                            ศน.บ. ศาสนาและปรัชญา, M.A Philosophy, Ph.D.Philosophy
                            อาจารย์ประจำาหลักสูตร สาขาวิชาพุทธศาสนาและปรัชญา
                            บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

                            ‘อสีติมหาสาวก : ๘๐ พระอรหันต์’





            ตอนที่ ๑๒  พระมหากัสสปะ
       พระมหากัสสปะมีนามว่า ปิปผลิ เป็นบุตรของกปิลพราหมณ์ เกิดที่หมู่บ้านมหาติตถะ แคว้นมคธ วันหนึ่ง ปิปผลิไปตรวจนา
       เห็นฝูงนกจิกกินไส้เดือน จึงถามบริวารว่าบาปของสัตว์พวกนั้นตกแก่ใคร บริวารว่าตกแก่ท่านปิปผลิ ท่านสังเวชใจว่าถ้าอกุศล
       กรรมแบบนี้ตกแก่ท่านแล้ว  ถึงเวียนว่ายตายเกิดสักพันชาติก็คงไม่พ้นทุกข์  กลับถึงบ้านแล้วจึงบอกภรรยาว่าจะออกบวช
       ภรรยาของท่านก็จะออกบวชเช่นกัน  ทั้งสองปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสายะ  ตั้งใจออกบวชเพื่ออุทิศพระอรหันต์ในโลก  แล้วออก
       จากไปจนถึงทางแยกก็แยกกันเดินทาง ขณะที่แยกทางกันนั้นก็เกิดแผ่นดินไหว หลังจากบวชได้ครบ ๗ วัน เข้าวันที่ ๘ พระ
       มหากัสสปะก็พบพระพุทธเจ้าขณะประทับที่พหุปุตตเจดีย์  พระองค์ประทานโอวาทแก่ท่าน  ๓  ข้อ  คือ  มีหิริและโอตตัปปะ
       อย่างแรงกล้าในภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเถระ ผู้เป็นนวกะ และผู้เป็นมัชฌิมะ ฟังธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งประกอบด้วยกุศล จัก
       กระทำาธรรมนั้นทั้งหมดให้เป็นประโยชน์ มนสิการถึงธรรมนั้นทั้งหมด จักประมวลจิตมาทั้งหมด เงี่ยโสตสดับธรรม ไม่ละกาย
       คตาสติที่ประกอบด้วยความยินดี  พระมหากัสสปะฟังแล้วก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์  จากนั้นท่านนำาผ้าสังฆาฏิของตนปูถวาย
       พระพุทธเจ้าให้ทรงประทับนั่ง  พระพุทธเจ้าจึงประทานผ้าป่านบังสุกุลให้ท่านใช้แทน  ขณะนั้นแผ่นดินก็ไหวขึ้นเพราะไม่เคยมี
       มาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะประทานจีวรที่ทรงใช้แล้วแก่พระสาวก  พระมหากัสสปะประทับใจมากด้วยระลึกว่าท่านเป็น  “บุตร
       ของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้เกิดแต่อก เกิดแต่พระโอษฐ์ เกิดแต่พระธรรม อันพระธรรมเนรมิตแล้ว เป็นธรรมทายาท ได้รับ
       ผ้าป่านบังสุกุลที่ใช้สอยแล้ว”  พระมหากัสสปเถระได้ทราบข่าวการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า  เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว
       ได้ ๗ วัน ขณะที่ท่านกำาลังเดินทางอยู่ ณ เมืองปาวาพร้อมด้วยหมู่ศิษย์จำานวนมาก เมื่อได้ทราบข่าวนั้น เหล่าศิษย์ของพระ
       มหากัสสปะซึ่งยังเป็นปุถุชนอยู่ ได้ร้องไห้คร่ำาครวญกัน ณ ที่นั้น จึงมีพระภิกษุผู้บวชเมื่อแก่รูปหนึ่ง ชื่อว่าสุภัททะ ได้กล่าว
                                                                                                             ้
                                                                                                         ้
       ขึ้นว่า  “พอทีเถิด  พวกท่านอย่าโศกเศร้า  อย่าคร่ำาครวญเลย  พวกเรารอดพ้นดีแล้วจากพระมหาสมณะรูปนั้นที่คอยจำาจี้จำาไช
       พวกเราอยู่ว่า ‘สิ่งนี้ควรแก่พวกเธอ สิ่งนี้ไม่ควรแก่พวกเธอ’ บัดนี้ พวกเราปรารถนาสิ่งใด ก็จักทำาสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใด
       ก็จักไม่ทำาสิ่งนั้น  พระมหากัสสปะได้ฟังเช่นนั้นก็ดำาริขึ้นว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานเพียง  ๗  วัน  ก็มีผู้คิดที่จะทำาให้เกิดความ
       แปรปรวน  หรือประพฤติปฏิบัติให้วิปริตไปจากพระธรรมวินัยเช่นนี้  จึงควรจะทำาสังคายนา  ชักชวนพระอรหันต์เถระทั้งหลาย
       ซึ่งล้วนทันเห็นพระพุทธเจ้า ได้ฟังคำาสอนของพระองค์มาโดยตรง เป็นผู้รู้คำาสอนของพระพุทธเจ้า และได้อยู่ในหมู่สาวกที่เคย
       สนทนาตรวจสอบกันอยู่เสมอ รู้ว่าสิ่งใดที่เป็นคำาสอนของพระพุทธเจ้า ให้มาประชุมกัน เพื่อช่วยกันแสดง ถ่ายทอด รวบรวม
       ประมวลคำาสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วตกลงวางมติไว้ ใช้เวลา ๗ เดือน พระเจ้าอชาตศัตรู เป็นผู้อุปถัมภ์ การสังคายนา
       ครั้งที่หนึ่งในศาสนาพุทธจึงได้จัดขึ้นที่ถ้ำาสัตบรรณคูหา  กรุงราชคฤห์  ตามคำาปรารภของพระมหากัสสปะเถระ  โดยมีพระเจ้า
       อชาตศัตรูเป็นองค์อุปถัมภ์ ใช้เวลาในการสังคายนารวบรวมพระธรรมวินัยอยู่ ๗ เดือนจึงแล้วเสร็จ โดยในครั้งนั้น พระมหา
       กัสสปะเถระเป็นประธานทำาสังคายนา พระอานนท์เป็นองค์วิสัชชนาแสดงพระธรรม พระอุบาลีเป็นองค์วิสัชชนาพระวินัยปิฎก
       การสังคายนาครั้งนั้นนับเป็นต้นกำาเนิดของพระไตรปิฎกภาษาบาลีที่ใช้ในนิกายเถรวาทในปัจจุบัน


















       ภาพ  :  “ต้อนรับน้องใหม่  รุ่นที่  ๔”  หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต  สาขาวิชาพุทธศาสนาและปรัชญาบัณฑิตวิทยาลัย  มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย
       ตำาบลศาลายา อำาเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
      6   วารสารองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี
   1   2   3   4   5   6   7   8   9