Page 171 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม
P. 171
103
ตรงน้ีแหละท่ีเราศึกษา ถึงบอกว่าแม้แต่จิตที่ทาหน้าท่ีรู้เอง เกิดดับไหม เกิดดับแบบไหน ถ้าขันธ์ ท้ัง ๕ เกิดดับหมด แล้วอะไรเป็นของเรา แล้วจะยึดอะไร น่าใจหายไหม ไม่รู้สึกใจหายหรอกนะ แสดงว่ามี ปัญญา ถ้าไม่มีอะไรให้ยึดก็สบายจะได้อิสระ จะได้ไม่ต้องยึดอะไรเลย อยู่เคว้งคว้างแบบน้ันแหละ แปลก มาก! ยง่ิ ไมต่ อ้ งยดึ จติ ยง่ิ มนั่ คงไมเ่ ควง้ ควา้ ง คนทเ่ี คยยดึ อะไรแลว้ ยดึ ไมไ่ ดเ้ ทา่ นน้ั ถงึ จะเควง้ ควา้ ง เมอ่ื ไมม่ ี อะไรให้ยึดก็จึงเคว้งคว้าง แต่ถ้าเข้าถึงสัจธรรมความจริงแล้ว มีแต่ความหนักแน่นม่ันคงเป็นอิสระ อยู่กับ ความไม่มีอะไรจะไม่มีอะไร คือคาว่าเคว้งคว้าง
เพราะฉะน้ันเราปฏิบัติธรรม ให้ใส่ใจตั้งใจเข้าไปตามรู้ให้ต่อเน่ือง เราไม่ได้มาแบบแค่สักแต่ว่า เรา ศึกษาธรรมะเร่ืองสัจธรรมจริง ๆ กฏอะไรที่จะเชื่อมโลกทุกโลกเข้าด้วยกันทั้งหมดได้ ทุกสรรพสิ่ง กฏอะไร เราจะเหน็ กฏ กฏฟสิ กิ ส์ กฏอะไร กฏควอนตมั กฏฟสิ กิ สเ์ ยอะแยะ แตก่ ย็ งั เขา้ ไดไ้ มท่ งั้ หมด แตก่ ฎไตรลกั ษณ์ พระพุทธเจ้าสอนมากี่พันปี เข้าได้กับทุกอย่าง ทั้งหยาบละเอียดเป็นไปด้วยกันทั้งหมดเลย ละเอียดแค่ไหน ก็ยังตรัสถึงวิถีจิตของเรา ตรงนั้นคือทั้งรูปทั้งนาม ละเอียดแค่ไหนก็คือ อยู่ในกฎไตรลักษณ์หมดเลย เป็น กฏที่เสมอกันแก่สังขารทั้งปวง เข้าได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นเราศึกษาศาสตร์ที่สูงมาก ๆ ศึกษาเรื่องศาสตร์ ความรู้ที่พิเศษมาก ๆ เพราะไม่มีศาสตร์ไหนที่จะพาเราออกจากวัฏสงสาร นอกจากพุทธศาสนา ศาสตร์ ของพระพทุ ธเจา้ ศาสตรอ์ ยา่ งอนื่ แคเ่ ขาไปนอกโลกแลว้ กลบั เขา้ มา แตพ่ ทุ ธเจา้ พาออกจากวฏั สงสาร เพราะ ฉะนั้นไม่ใช่ศาสตร์ธรรมดา
คดิ ดวู า่ เราเกดิ มา เราลองทบทวนดวู า่ และกอ็ ยไู่ มไ่ กล ทกุ คนมสี ทิ ธทิ์ จี่ ะศกึ ษาไมต่ อ้ งสอบ แตต่ อ้ ง สอบอารมณ์ ไมต่ อ้ งสอบเขา้ แคเ่ ดนิ เขา้ ไปกส็ อบถามไดแ้ ลว้ เรยี นรไู้ ดน้ ะ อยทู่ ไี่ หนกเ็ รยี นรไู้ ด้ เพราะฉะนนั้ นี่คือเป็นเรื่องที่สาคัญ เป็นเรื่องที่พิเศษ เพราะฉะนั้น การที่เราได้เข้ามาปฏิบัติธรรมกันในคอร์สนี้ ก็ถือว่า เปน็สงิ่ทดี่ีทเี่รามีความม่งุมั่นมีความปรารถนาที่จะศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าเพื่อปฏบิัติเจริญรอยตาม ของพระองค์ ที่พระองค์เดินทางไปสู่ถึงความดับทุกข์แล้ว แล้วเราก็มีความปรารถนาที่จะเดินตามรอยของ พระองค์ไปสู่เส้นทางอันนั้น ก็ขออนุโมทนาบุญกับโยคีทุก ๆ คน ขออานิสงส์กุศลผลบุญต่าง ๆ ที่เราได้ ป ฏ บิ ตั บิ า เ พ ญ็ เ พ ยี ร ม า พ ฒั น า ส ต ปิ ญั ญ า ม า ข อ อ า น สิ ง ส ก์ ศุ ล ผ ล บ ญุ ส ว่ น น นั ้ จ ง เ ป น็ ป จั จ ยั ใ ห เ้ ร า ท งั ้ ห ล า ย จ ง เปน็ ผทู้ มี่ สี ตมิ สี มาธมิ ปี ญั ญา มดี วงตาเหน็ ธรรม และเขา้ ถงึ ธรรมโดยฉบั พลนั ดว้ ยกนั ทกุ คนเทอญ เจรญิ พร
กอ่ นทเี่ ราจะลกุ เปลยี่ นอริ ยิ าบถ และปฏบิ ตั ติ ามอธั ยาศยั ตอ่ ตอนนเี้ รามาแผเ่ มตตากนั กอ่ น กอ่ นที่ เราจะแผ่เมตตาทุกครั้งขอให้น้อมถึงบุญกุศลที่เราได้ทา ทาใจให้ว่าง ๆ แล้วก็น้อมถึงบุญกุศลเข้ามาใส่ใจที่ วา่ ง ๆ ทสี่ งบ นอ้ มถงึ ความสขุ ความอมิ่ ใจความสบายใจ เขา้ มาใสบ่ รเิ วณหวั ใจเราใหเ้ ตม็ ในใจทวี่ า่ ง ๆ บรเิ วณ หวั ใจเราใหเ้ ตม็ ใหเ้ ตม็ ทงั้ ตวั ความนมุ่ นวลออ่ นโยนดว้ ย ความสขุ ความอมิ่ ใจเตมิ ใหเ้ ตม็ ทงั้ ตวั ใหล้ น้ จากตวั เพราะนั่นคือพลังบุญ ให้ล้นจากตัวให้กว้างให้เต็มทั้งห้องนี้ จิตที่เป็นบุญจิตที่มีความสุขเต็ม เมื่อรู้สึกว่าจิต เราเต็มไปด้วยบุญเต็มไปด้วยพลังของความสุข
ให้อธษิฐานจิตให้กบัตนเองด้วยอานภุาพแหง่พลังบุญนี้จงมาเปน็ตบะเปน็พลวะเปน็ปจัจัยใหเ้รา มีสติมีสมาธิมีปัญญา มีดวงตาเห็นธรรมและเข้าถึงธรรมโดยฉับพลัน