Page 486 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม
P. 486
418
แหละที่เราต้องสังเกต ให้ความเท่าเทียมกัน ให้ความเสมอภาคกัน โดยไม่ลาเอียง ตรงนี้แหละ ที่เรียกจิต เป็นกลาง เป็นกลางคือเท่าเทียมกัน คือความเป็นคนละส่วน และเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จิตที่ทาหน้าที่รู้กับ เรื่องที่คิด เป็นส่วนเดียวกันหรือคนละส่วนกัน ที่ถามมาแบบนี้ เราพิจารณาอะไร เขาเรียก ขันธ์
ความคิดที่เกิดขึ้น ที่เรียกว่าสัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ จิตที่ทาหน้าที่รู้ ที่เรียกว่าตัววิญญาณขันธ์ จิตใจที่รู้สึกไม่ดี รู้สึกดี ไม่ดี รู้สึกเป็นทุกข์ รู้สึกเป็นสุขขึ้นมา เรียกว่า เวทนาขันธ์ เวทนาทางจิต และจิตที่ ทาหน้าที่รู้กับความรู้สึกดี ไม่ดี เป็นคนละส่วนกัน การกาหนดรู้แบบนี้อยู่เนือง ๆ บ่อย ๆ นี่นะ การที่เรา มีเจตนาตรงนี้ เจตนาที่จะรู้แบบนี้อยู่เนือง ๆ ก็คือการที่เราศึกษา พิจารณา ตามคาสอนขององค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เพื่อที่จะได้เห็นจริงด้วยตาตัวเอง ว่าเป็นอย่างนั้นจริงไหม ไม่ใช่แค่เชื่อ อย่างเดียว
และลองสงั เกตดวู า่ เมอื่ ไหรก่ ต็ าม ทเี่ หน็ ถงึ จติ กบั อารมณ์ จติ ของเรากบั อารมณเ์ หลา่ นนั้ เปน็ คนละ สว่ นกนั จติ ใจรสู้ กึ เปน็ อยา่ งไร กเิ ลสเกดิ ไดไ้ หม...ไมไ่ ด้ ไมเ่ กดิ ขนึ้ รแู้ ตว่ า่ ออ๋ !เปน็ แบบนแี้ ลว้ กด็ บั ไป ตรงนี้ แหละ กิเลสไม่เกิดขึ้น ไม่บีบคั้นจิตใจ ไม่เกิดความขุ่นมัว ความอยากไม่เกิด โทสะไม่เกิด การปรุงแต่งเป็น อย่างไร ไม่เกิดนะ มีแต่ปัญญาเกิดขึ้นมา ปัญญาเกิดขึ้นมา พิจารณาว่า อ๋อ!เป็นแบบนี้เอง มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แบบนี้ เขาจะตัด ตัดอะไรเบื้องต้น ตัดวิบาก ตัดกรรม มโนกรรมที่จะปรุงแต่งในฝ่ายอกุศลนี้ จะสั้นลง จะไม่ปรุงแต่งในฝ่ายอกุศล แล้วเขาเรียกมโนกรรม
กลายเป็นว่ามโนกรรมที่เกิดขึ้น พิจารณามีปัญญาขึ้นมา ถ้าจะทา ก็เป็นมโนกรรมที่เป็นกุศล มโนกรรม เป็นการทาความดี หาทางที่จะออกจากทุกข์ต่อไป ทีนี้การกาหนดรู้ ตรงที่เรามีสติกาหนดรู้ ตรง นี้เป็นอะไร เป็นปัญญา เป็นมโนกรรมไหม กรรมฐานนี่นะ เห็นไหม เราทากรรมด้วยจิตด้วยปัญญาของ เรา มีสติกาหนดรู้ ความเป็นจริงของรูปนามที่เกิดขึ้น ตรงนี้แหละเป็นมโนกรรม แต่กรรมอันนี้ เป็นเรื่อง มหัศจรรย์อย่างหนึ่ง คือ มโนกรรมทาให้จิตหลุดพ้น การเจริญสติของเราใช้อะไรเป็นสาคัญ จิต...จิตก็เป็น มโนกรรม
เพราะฉะนนั้ การกระทา อนั นี้ จงึ เปน็ มโนกรรมทปี่ ระกอบดว้ ยปญั ญา เหมอื นเอาสตกิ าหนดรคู้ วามคดิ กาหนดรู้เวทนา มีสติเข้าไปกาหนดรู้เวทนา รู้ความคิด รู้อาการพองยุบ รู้อาการทางกาย รู้อาการทางรูป กลายเปน็ ตวั กรรมฐานนนี่ ะ กลายเปน็ ตวั จติ เปน็ ตวั สา คญั และการกา หนดรแู้ บบนนี้ ะ สง่ ผลตอ่ จติ ทที่ า ให้ จิตรู้สึก...มีความอะไรนะ สว่าง ใส จิตคลายจากอุปาทาน จิตก็จะเป็นอิสระ
เพราะจิตเขาเห็นด้วยตัวเองว่า อันนั้นคนละส่วนกับตัวเขานะ เวทนากับตัวจิตที่ทาหน้าที่รู้ คนละ ส่วนกันนะ ความคิดกับจิตที่ทาหน้าที่รู้ คนละส่วนกันนะ ความคิดที่เกิดขึ้นไม่เที่ยงนะ แล้วไปยึดทาไมว่า เป็นของตัวเอง นี่แหละคือปัญญาที่จะเห็น เพราะฉะนั้น ปัญญาที่เป็นแบบนี้เกิดขึ้น ทาให้จิตเขาคลายเอง แต่ความเข้าใจของเรา ก็คือว่า สาหรับผู้ปฏิบัติ สาหรับตัวเราเอง เราพยายามทาความเข้าใจ ปัญญาที่เกิด ขึ้น เราอยากรู้อะไร