Page 34 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การเจาะสภาวะ
P. 34
212
“การที่เราระลึกถึงความตายอยู่ตลอดเวลา” กับ “การที่เห็นการเกิดดับของวิถีจิตตลอดเวลา” ให้ ผ ล แ ต ก ต า่ ง ก นั ก า ร เ ห น็ อ า ก า ร เ ก ดิ ด บั ข อ ง ร ปู น า ม อ ย ท่ ู กุ ข ณ ะ จ ติ ต ร ง น จี ้ ะ เ ห น็ ไ ด อ้ ย า่ ง ไ ร ? ต วั น แี ้ ห ล ะ ส า ค ญั มาก ๆ ด้วยความละเอียดของสติ-สมาธิ-ปัญญาที่แก่กล้าขึ้นเราจะรู้สึกได้เลยว่ารู้แล้วดับ เหมือนความ คิดที่เกิดขึ้น พอรู้ปุ๊บความคิดดับ การดับขณะหนึ่งแล้วเห็นว่าจิตดับด้วย...นั่นคือการตาย เห็นความคิด ดับ-จิตดับ เห็นความคิดดับ-จิตดับ... พอเรามองภาพ เห็นภาพข้างหน้าปรากฏขึ้นมาแล้วก็ดับไป เหมือน กับรูปนามดับตลอดเวลา สังเกตว่า ถ้าเห็นแบบนี้จิตจะเป็นอย่างไร... ขุ่นมัวเศร้าหมองหรือผ่องใส ? นี่คือ การพิจารณาความตาย
แลว้ ทา ไมเราเหน็ แบบนแี้ ลว้ คลาย ? เพราะเมอื่ เหน็ การเกดิ ดบั จติ จะคลายจากอปุ าทาน จติ จงึ ผอ่ งใส ขึ้นมา จะไม่มีอาการหดหู่ห่อเหี่ยว เพราะดับแล้วอิสระขึ้นผ่องใสขึ้น สภาวธรรมที่ละเอียดแบบนี้เรามานั่ง คิดอย่างเดียวไม่ได้ เพราะฉะนั้น การที่จะพัฒนาสติ สมาธิ และปัญญาให้แก่กล้าขึ้น จึงกลับมารู้อารมณ์ ปัจจุบันที่เป็นอารมณ์หลักให้ชัดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทุก ๆ อารมณ์ที่เกิดขึ้นนี่แหละ ที่บอกว่าเวลานั่งดู ลมหายใจ ดูอาการพองยุบ รู้เวทนา รู้ความคิด กลายเป็นว่านั่นคืออุปกรณ์ในการเจริญกรรมฐาน อุปกรณ์ ในการพฒั นาสตขิ องเรา เขาไมใ่ ชป่ ญั หา แตพ่ อมเี วทนาเกดิ ขนึ้ หรอื มคี วามคดิ เกดิ ขนึ้ กลบั เปน็ ปญั หาสา หรบั เรา เพราะเราไม่อยากให้เกิด ไม่ชอบ รู้สึกไม่ดี
ทาไมถึงรู้สึกไม่ดี ? เพราะเมื่อไหร่ที่ทนยากก็รู้สึกไม่ดี แต่ถ้าเรามองว่าเป็นเพียงสภาวธรรมอย่าง หนึ่งของกาย เวทนา จิต หรือธรรมที่เกิดขึ้น มีเจตนาที่จะมองให้เป็นสภาวธรรมเมื่อไหร่ อารมณ์ที่เกิดขึ้น มาบีบคั้นทรมานจิตใจจะลดลง เหลือแต่ทนได้หรือทนไม่ได้ แต่ไม่ทาให้เกิดความขุ่นมัวเศร้าหมอง อันนี้ คือสิ่งสาคัญ ทาไมถึงไม่บีบคั้นจิตใจไม่ทาให้จิตใจเกิดความขุ่นมัวเศร้าหมอง ? ลองสังเกตดู เวลาจิตขุ่น มัวเศร้าหมองนี่จิตใจอ่อนแอหรือเข้มแข็ง ? อ่อนแอนะ จิตจะหมดแรงไม่มีพลัง แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่า จิตเราตั้งมั่นผ่องใส พอมีเวทนาเกิดขึ้นมา ก็เห็นอาการเกิดดับของเวทนาเป็นสภาวะ ความคิดขึ้นมา ก็เป็น เพียงสภาวธรรมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แล้วก็รู้อาการเกิดดับ ใช้เป็นอารมณ์กรรมฐานไป
ใหใ้ ชบ้ อ่ ย ๆ แลว้ จติ เราจะพฒั นาขนึ้ สตจิ ะมกี า ลงั มากขนึ้ ผอ่ งใสขนึ้ ตอ่ ไปสภาวะจะละเอยี ดแคไ่ หน เราก็เจาะได้ จะไม่มีอะไรเป็นเรื่องแปลก มีแต่เรื่องปกติที่เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป แต่อาจจะมีอารมณ์พิสดาร ที่เราไม่เคยเห็น อารมณ์พิสดารที่เกิดขึ้นก็คือตรงสภาพจิตเราเอง อาจจะเห็นสภาพจิตตัวเองที่เปลี่ยนไป เอ๊ะ! ทาไมใสได้ขนาดนี้ ทาไมสงบได้ขนาดนี้ ทาไมมั่นคงได้ขนาดนี้ ทาไมสะอาดได้ขนาดนี้ อันนี้อาจจะ เห็น ไม่น่าจะใช้คาว่า “อาจ” นะ... นี่จะเห็นถึงความพิสดารของจิตตัวเอง เพราะไม่ใช่สิ่งที่บังเอิญแต่เป็นสิ่ง ที่ต้องเกิดถ้าเรากาหนดรู้แบบนี้ แสดงว่าจิตที่สะอาดที่ผ่องใสเกิดขึ้นได้กับทุกคนถ้าทาแบบนี้ เพราะฉะนั้น เหลืออย่างเดียว “ทา” ทอ-อา-ทา