Page 232 - พระอาจารย์เทศน์เนื่องในโอกาสวันสำคัญทางพุทธศาสนา
P. 232

228
สว่าง ความสงบ ความใส ความเบา ความมั่นคง ความตื่นตัว ให้สังเกต แบบเดียวกัน แต่ละครั้งที่เข้าไปนั้นเปลี่ยนอย่างไร
แต่ถ้าใครรู้สึกว่าพอหลับตา ทาใจให้สบาย ๆ ว่าง ๆ แล้ว ข้างหน้า มีอาการไหว ๆ ขึ้นมา มีแสงขึ้นมา ก็ให้มีสติเข้าไปกาหนดรู้อาการไหว ๆ หรืออาการวูบวาบข้างหน้า ลักษณะที่เป็นอาการไหว ๆ หรือวูบวาบขึ้นมา ข้างหน้า ตรงนั้นเรียกว่าสภาวธรรมที่ปรากฏเกิดขึ้น โดยที่เราไม่ต้องปรุง แตง่ ไมต่ อ้ งไปสรา้ ง แคม่ สี ตเิ ขา้ ไปกา หนดรดู้ วู า่ เขามกี ารเปลยี่ นแปลงเกดิ ดับอย่างไร ให้ตามรู้จนอาการนั้นสิ้นสุดเช่นเดียวกัน นั่นคือการกาหนด รู้อารมณ์ปัจจุบัน แต่ถ้ารู้สึกว่าพอหลับตาแล้ว มีอาการเต้นของหัวใจ มี อาการกระเพื่อม ๆ ที่บริเวณหัวใจหรือที่ตัว เป็นเหมือนชีพจรเกิดขึ้น ก็ ให้กาหนดรู้อาการเกิดดับของอารมณ์นั้นไป
เพราะฉะนนั้ จะเหน็ วา่ ในการปฏบิ ตั ธิ รรม สภาวธรรมเหลา่ นี้ ไมว่ า่ จะเป็นบัลลังก์ไหน ถ้าสภาพจิตหรือสติสมาธิเรามีกาลังระดับหนึ่ง อาการ เหล่านี้จะปรากฏเกิดขึ้นเอง โดยที่เราไม่ต้องไปบังคับ ไม่ต้องพยายามหา อย่างอื่น เพราะอาการเหล่านี้เป็นอารมณ์ปัจจุบัน อาการที่ปรากฏเกิดขึ้น นี้อาศัยกาลังของสติ-สมาธิ-ปัญญาที่กาลังเป็นอยู่ หมายถึงสติเรามีกาลัง ขนาดนี้ สมาธิมีกาลังขนาดนี้ อาการแบบนี้ก็ปรากฏขึ้นมา แต่เมื่ออาการ เ ก ดิ ด บั ใ น ล กั ษ ณ ะ อ ย า่ ง น ปี ้ ร า ก ฏ ข นึ ้ ม า ก า ร เ ข า้ ไ ป พ จิ า ร ณ า เ พ อื ่ ท จี ่ ะ พ ฒั น า ปัญญาของเราก็คือ การที่มีเจตนาเข้าไปกาหนดรู้ว่าอาการเกิดดับที่กาลัง ปรากฏอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ เขาต่างจากบัลลังก์ก่อนหน้านี้อย่างไร ต่างจาก เมื่อช่วงบ่ายอย่างไร และเกิดดับอย่างไร
ทุกครั้งที่พูดถึงการกาหนดรู้อาการเกิดดับตามสภาวะของตนของ ตนอยู่นี้ ให้สังเกตว่าจิตที่ทาหน้าที่รู้อาการเกิดดับที่กาลังปรากฏอยู่นั้น


































































































   230   231   232   233   234