Page 437 - ธรรมปฏิบัติ 1
P. 437
419
การตามรู้อารมณ์ปัจจุบันอย่างต่อเนื่องทุก ๆ ขณะ ทุก ๆ ขณะ ที่มีอาการ เกิดขึ้น จะทาให้จิตเราตั้งมั่น ผ่องใส มั่นคง มีความเบิกบาน ตื่นตัว นั่นคือ จิตเรามีสติ ในการเจริญกรรมฐาน โดยเฉพาะวิปัสสนากรรมฐานแล้ว การ กาหนดรู้ถึงอาการเกิดดับของรูปนามเป็นสิ่งสาคัญ
อันไหนเป็นรูป ? อันไหนเป็นนาม ? รูปก็คือ รูปนั่นแหละ รูปก็คือ ตัว นามก็คือ “จิตหรือสติ” ที่ทาหน้าที่รู้สิ่งต่าง ๆ อารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ต้องดูให้ชัด การกาหนดลมหายใจ หรือพองยุบ หรือสีสันที่เกิดขึ้น ใหม่ ๆ เราเห็นอย่างนี้ เปลี่ยนแบบนี้ รู้ไว้อย่างหนึ่ง นอกจากที่เราเห็นนี่ยังมีอีกเยอะ ความละเอียดยังมีมากกว่าที่เราเห็น ขึ้นอยู่กับ “สติ” และ “ปัญญา” ของเรา ว่าเราจะเห็นได้มากแค่ไหน เพราะฉะนั้น การที่จะทาให้จิตเรามีสติ และมี ปัญญา มีความละเอียดอ่อนในการพิจารณาสภาวธรรม ก็คือการใส่ใจที่จะ รู้การเปลี่ยนแปลงของเขาให้มาก พยายามดูความแตกต่างของสภาวธรรม ที่เกิดขึ้นให้มาก ๆ นั่นแหละปัญญาก็จะเกิด
ถ้าเราไม่พิจารณาหรือไม่ใส่ใจดู เราก็จะไม่เห็นอะไร การพิจารณา หรือใส่ใจที่จะกาหนดรู้ความแตกต่างของสภาวธรรมที่เกิดขึ้นในแต่ละ ขณะ แต่ละขณะ เขาเรียกว่า “มนสิการ” เอาใจพิจารณา หรือเรียกอีกอย่าง หนึ่งว่า “ธัมมวิจยะ” การสอดส่องธรรม การสอดส่องพิจารณาดูสภาวธรรม ที่กาลังเกิดขึ้น ที่กาลังเป็นไป ที่กาลังดาเนินอยู่ ในขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ว่าเขาเกิด ดับในลักษณะอย่างไร
แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า เมื่อเรากาหนดรู้ดูการเปลี่ยนแปลงของ ลมหายใจ ดูอาการเคลื่อนไหวของท้องพองยุบ สังเกตดูว่า “สภาพจิตใจ” เรารู้สึกเป็นอย่างไร ? ยิ่งตามรู้ จิตเรายิ่งสงบขึ้น ตามรู้แล้ว จิตเรายิ่งนิ่งขึ้น รู้แล้ว จิตเรายิ่งใสขึ้น หรือยิ่งดู จิตเรายิ่งเบาขึ้น หรือว่ายิ่งเพ่ง ยิ่งอึดอัด ? ไม่ว่าจะเป็นสภาวะไหนเกิดขึ้นมา ก็ให้ดูให้ชัด ถ้าเป็นอย่างนี้ เราจะไม่หลับ ง่าย ๆ เพราะมีอะไรให้ตามรู้ ตามดูอยู่ตลอดเวลา แต่ต้อง “ดูให้ชัด” นะ ถ้า