Page 57 - ธรรมปฏิบัติ 1
P. 57

39
เพราะฉะนั้น สติเราจะมีกาลังมากขึ้นความง่วงก็จะหายไป แต่ถ้าแค่กว้าง นิดหนึ่ง แล้วก็กลับมาดูลมหายใจต่อ เดี๋ยวเขาก็หดเข้ามา แล้วก็จะหลับ เพราะเขายังมีเศษอยู่ อันนี้วิธีสู้กับความง่วง ถ้าเรามีตัวสู้เมื่อไหร่ ความง่วง ก็จะหายไป แต่ถ้าเราไม่สู้ ความง่วงก็จะครอบงา เพราะเมื่อไหร่ก็ตาม ที่เรา ตั้งใจที่จะสู้ จิตเราจะตื่นทันที แต่ถ้าเมื่อไหร่เราไม่สู้ จิตเราก็จะถอยลง หลับ ลง นั่นวิธีแก้ความง่วง
และอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ถ้าเราทาใจให้ว่างได้ เราเติม “ความตื่น ตัว” เข้าไปในใจเราได้เลย ความรู้สึกที่ตื่นตัวนี่ นึกออกไหม ? นึกไม่ออกนะ เวลาหัวเราะนี่รู้สึกเป็นไง ? ตื่นตัวหรือว่าง่วง ? (โยคีกราบเรียนว่า ตื่นตัว) ความรู้สึกที่ตื่นตัว เห็นไหม ? ความรู้สึกตื่นตัว รู้สึกสดชื่นเบิกบาน จริง ๆ แล้วเมื่อไหร่ที่จิตเราตื่นตัว จิตเราจะใส จะสว่างขึ้นมา แค่เรานิ่ง แล้วเพิ่ม ความรู้สึกที่ตื่นตัวเข้าไป ลองดูสิ รู้สึกเป็นไง ?
เบิกบานขึ้น สดชื่นขึ้น ใช่ไหม ? กระฉับกระเฉงขึ้น มันไม่เฉื่อย ๆ ไม่เรื่อย ๆ การเพิ่มความตื่นตัว ก็คือการเพิ่มสตินั่นเอง อันนี้คือเวลาเรานั่ง สมาธิ แล้วรู้สึกมีอาการง่วงขึ้นมา มีหลายวิธีที่จะแก้ความง่วง เพราะฉะนั้น เราก็เลือกสักวิธีหนึ่งที่ถูกกับเรา เลือกวิธีใดวิธีหนึ่งที่รู้สึกว่าทาแบบนี้ง่ายกว่า หายเร็วกว่า เอาเลยนะ ไม่ผิดหรอก เพราะเราต้องการแก้ความง่วง... แล้ว มีอะไรอีกไหม ?
โยคี (๑) : มีอีกคาถามหนึ่งเจ้าค่ะ... กราบท่านอาจารย์ค่ะ ในการเดิน จงกรม เราจาเป็นต้องดูอาการเกิดดับขณะก้าว ย่าง เหยียบ เท่านั้นหรือไม่ คะ จะดูอาการเกิดดับของจิตบริเวณหทยวัตถุได้ไหมเจ้าคะ ?
พระอาจารย์ : เป็นคาถามที่ดีคือ ตรงนี้สังเกตนิดหนึ่ง ถ้าเราเดินแล้ว อาการที่เท้าไม่ชัดเจน อาการเกิดดับที่หทยวัตถุชัดเจน เราสามารถกาหนด อาการเกิดดับที่หทยวัตถุได้เลย ไม่ต้องไปที่เท้า อันนี้อย่างหนึ่ง อันนี้สาคัญ นะ เพราะบางทีอาการที่หทยวัตถุชัด แล้วเราพยายามไปดูที่เท้า กลายเป็น


































































































   55   56   57   58   59