Page 103 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การยกจิตขึ้นสู่ความว่าง
P. 103
99
เพราะฉะนนั้ การดจู ติ ในจติ จงึ ใหเ้ ขา้ ไปรจู้ ติ ทวี่ า่ งทเี่ บาแลว้ นนี่ ะ เขา้ ไปดจู ติ ทเี่ บา เขาเปลยี่ นไปอยา่ งไร เข้าไปรู้จิตที่สงบ กาหนดรู้เข้าไปรู้ในจิตที่สงบว่าเขาเป็นอย่างไร เปลี่ยนอย่างไรอีก ดู...ถ้าสว่าง จิตสว่างขึ้น มาก็เข้าไปรู้ที่จิตที่สว่างอีก เขาเปลี่ยนอย่างไรต่อ นี่คือการดูจิตในจิต จิตใจเป็นอย่างไร อันนี้จะเกิดขึ้นเอง เขาจะปรากฏขึ้นเองเราไม่ต้องไปหาหรอก ให้ดูสิ่งที่กาลังเกิดขึ้นจริง ๆ ที่กาลังเป็นอยู่ ถ้าไปหา ถ้าไม่เกิด หาอย่างไรก็ไม่เจอ หาอย่างไรก็ไม่เจอถ้าเขายังไม่ปรากฏเกิดขึ้น ถามว่าเขาจะเกิดขึ้นได้อย่างไร อย่างที่ บอกแล้วว่า ถ้าเรามีสติกาหนดรู้อยู่กับอารมณ์ปัจจุบัน เรารู้อารมณ์หลักอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างต่อเนื่อง จนอารมณ์นั้นสิ้นสุดลง อาการทางจิตหรือลักษณะของจิตจะปรากฏขึ้น สภาพจิตจะมีความสงบ ความเบา ความโปร่ง ความโล่ง ความใส ความเงียบ ความสงัดเกิดขึ้นมา จะเกิดขึ้นแน่นอน จะเกิดหรือเฉย ๆ ว่าง ๆ จะเกิดขึ้น เพราะนั่นเป็นธรรมชาติ นั่นเป็นธรรมชาติที่เขาจะเกิดขึ้น
แต่การที่เราตามรู้ต่อเนื่อง ทาไมถึงเป็นธรรมชาติ เขาเกิดขึ้นเพราะกาลังของสติสมาธิปัญญาเรา แก่กล้าแค่ไหน สภาพจิตก็เป็นแบบนั้น สภาพจิตก็เป็นแบบนั้น เพราะฉะนั้นการดูจิตในจิต จึงรู้ว่าจิตใจ เป็นอย่างไร จริง ๆ แล้วก็คือว่า เหมือนกับที่เรามานั่งมาปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร เพื่อชาระจิต เพื่อทาให้จิต สงบ เพื่อให้จิตเบาบาง เพื่อที่จะได้ไม่ทุกข์กับอารมณ์ที่เกิดขึ้น หรือเพื่อชาระความทุกข์ที่มันค้างอยู่ในใจ ของเรา ความทุกข์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร คือความไม่สบายใจ นั่นก็คือตัวสภาพจิต
สภาพจิตใจอย่างหนึ่ง สภาพจิตที่เป็นทุกข์ จิตที่กาลังเป็นทุกข์อยู่ ขุ่นอยู่ หนักอยู่ นั่นคือลักษณะ ของสภาพจิต เป็นสภาพจิตใจที่ไม่ค่อยดี เขาเรียกเป็นสภาพจิตที่ไม่ดี เหมือนสภาพจิตที่เป็นเป็นทุกข์หรือ เป็นอกุศลอยู่ ไม่ใช่กิเลสที่เกิดจากที่เราเรียกว่าความทุกข์ ตรงนี้อาศัยกิเลสบางตัวที่เรามองไม่เห็นมัน ทาให้เกิดขึ้น แต่ที่เหลืออยู่คือผลของเขา ผลของความทุกข์ ผลที่เกิดจากการไม่รู้หรือไม่เข้าใจ ทาให้ยึด เอาสิ่งต่าง ๆ มาเป็นของตัวเอง แล้วก็ทาให้ทุกข์เกิดขึ้นอยู่ที่ใจของเรา เรามาเพื่อชาระจิตใจตรงนั้น เพราะ ฉะนนั้ การทเี่ ราดบั ทกุ ขไ์ ด้ พอดบั ทกุ ขค์ วามทกุ ขน์ นั้ หายไป เราจะรสู้ กึ ทนั ทเี ลยไหมวา่ จติ ใจรสู้ กึ เปน็ อยา่ งไร ถ้าทุกข์ดับ ความหนักหายไป ความเบาก็เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ โดยปกติโดยปริยายโดยที่เราไม่ต้องหา นี่ คือการดูจิตในจิต
การดูจิตในจิต หนึ่ง...ดูว่าความคิดเกิดดับอย่างไร สอง...สภาพจิตใจเป็นอย่างไร สาม...อีกอย่าง หนึ่งก็คือว่า แม้แต่ตัวจิตที่ไปรู้ดูความสงบ ดูความคิด ตัวจิตที่ทาหน้าที่รู้ความคิด รู้ความสบายเอง อันนี้ เขาเรียกวิญญาณรู้ จิตรู้ ตัวรู้ ธาตุรู้แล้วแต่ แต่เรียกว่าจิตที่ทาหน้าที่รู้อารมณ์ จิตที่ทาหน้าที่รู้อันนี้ เวลา อาการอารมณ์เหล่านั้นดับไป จิตที่ทาหน้าที่รู้เกิดดับด้วยไหม อันนี้ต้องสังเกตคือการดูจิตในจิต แม้แต่ดู ว่าจิตที่สงบเขาเปลี่ยน เข้าไปแล้วเขามีอาการเปลี่ยน เขาดับอย่างไร กาหนดรู้ต่อไป อันนี้คืออารมณ์หลัก ดูกายเวทนาจิตธรรม
เพราะฉะนั้นจะเห็นว่า สภาวธรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้น เป็นอาการปกติของชีวิตคนเรา ครูบาอาจารย์ ท่านย่อลงมาเหลือแค่ ๔ อย่าง งานที่เราต้องทา ทาไมเป็นความคิด เป็นจิต เพราะไม่ว่าจะคิดเรื่องอะไร ถ้า มเี งอื่ นไข ถา้ คดิ เรอื่ งนฉี้ นั ไมท่ กุ ข์ คดิ เรอื่ งนฉี้ นั ทกุ ข์ แตค่ วามคดิ ทกุ ความคดิ กต็ งั้ อยใู่ นกฎของไตรลกั ษณ์