Page 157 - มรรควิถี
P. 157
ใหพิจารณาถึงวาเมื่อแยกรูปนามได ความรูสึกกับตัวแยกจากกัน จึง ถามวา ความรูสึกหรือจิตเขาบอกวาเปนเราหรือเปลา ? อันนี้เพื่อเรารับรอง ตัว นักปฏิบัติรับรองตัวเอง เมื่อแยกออกปุบเนี่ย สังเกตวาจิตบอกไมบอกวา เปนเรา ? พอใหหันกลับมาดูตัวที่นั่งอยู ซึ่งเบื้องตนจะสอนอยางนี้แทบ ทุกคน.. ทุกคนนะ ไมใชแทบทุกคน
ทุกคนตองเริ่มตนดวยการแยกรูปนาม และเห็นใหชัด ตรงนี้เราเริ่ม ดวยการเจริญปญญา พิจารณาตามความเปนจริงของรูปนามขันธ ๕ อันนี้ เมื่อพิจารณาเห็นความแตกตางกัน เมื่อแยกออกแลวจิตไมบอกวาเปนเรา พอยอนกลับมาดูตัว ตัวไมบอกวาเปนเรา ขณะที่ตัวไมบอกวาเปนเรา สภาวะ ที่รองรับก็คือ หนึ่ง.. เราจะรูสึกวาตัวเนี่ยนิ่ง ๆ เหมือนสิ่ง ๆ หนึ่งที่ตั้งอยู วางเปลา เบา ๆ วาง ๆ เบา ๆ และตั้งอยูในที่วาง บางคนอาจจะเห็นแค เปนเงา ๆ บางคนก็จะเห็นเปนแคขอบเงา ๆ บาง ๆ หรือมีสลัว ๆ ดํานิด ๆ มีขอบบาง ๆ แตรูไดวาเหมือนกับสิ่ง ๆ หนึ่งที่ตั้งอยู ถาเปนความจํา ถามวาไมบอกวาเปนตัวเราแลวจําไดไหม ? อันนี้แยกสวนกัน หนึ่ง.. เขา บอกหรือไมบอกวาเปนตัวเรา คือรูปอันนี้ไมบอกวาเปนเรา แตโดยสมมติ สมมติสัจจะ ความจริงแลวสัญญายังมีอยู สัญญาก็คือความจํา ความจําเรา จําไดวารูปนี้เปนของใคร ตรงนี้โดยสมมตินะ สมมติสัจจะ ความจริง โดยสมมติ ถึงแมจะรูวารูปนี้เปนรูปของเรา แตถายังเห็นวารูปกับนามแยก สวนกันอยู รูปก็ยังรูสึกเบา รูปก็ยังรูสึกเบาอยู แยกสวนกัน
เพราะฉะนั้นการเห็นสภาวะอยางนี้ การแยกรูปนาม เห็น ๒ อยาง นี้ไมมีตัวตน ไมใชเรา ไมใชเขา เพื่อการพิจารณาสภาวธรรมใหกวางขึ้น อีก ใหกวางขึ้นเปนลําดับ หรือขยายขอบเขตใหกวางขึ้น ไมใชเห็นแคตัว กับจิต ไมใชเห็นตัวเรากับจิตเทานั้นเอง เมื่อเห็นรูปกับนามแยกสวนกัน ตอ ไปก็พิจารณา เวลาเรานั่ง สมมติวาเวลาเรานั่งหรือมีความปวด มีอาการคัน มีอาการเมื่อยอาการชาขึ้นมา ตรงนี้เปนเวทนา ซึ่งโดยทั่วไปก็จัดเปนนาม
143