Page 27 - มรรควิถี
P. 27

แตเราก็พยายามนึกขึ้นมาใหม พยายามคิดขึ้นมาใหม ความคิดที่เกิดขึ้น สวนมาก เกิดจากเราคิดซ้ํา ๆ คิดแลวคิดอีก แมจบไปแลวเปลี่ยนอารมณ ใหมแลว แตก็ยังยอนกลับไปดูอีกวายังอยูไหม ยอนไปเมื่อไหรก็เจอเมื่อนั้น
ขณะที่เรากําหนดเวทนาอยู แลวมีสภาวะชัดกวาเกิดขึ้น เราก็ไป ดูสภาวะที่ชัดกวา ขณะทีเราดูสภาวะอยู ก็ยังมีความสงสัยวา เวทนายังมี อยูหรือเปลา ? พอไปดูเวทนาก็เจออีก เมื่อเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยูอยางนี้ สติและสมาธิของเรา ก็จะออนลง ใหเลือกเอาอยางเดียว อันไหนชัดก็ดู อันนั้นตอ ใหดูวามีการเปลี่ยนแปลงอยางไร ? ถาเบาไป อารมณอื่นชัดขึ้น มาใหเราดูอารมณที่ชัดตอไปวา อารมณที่เกิดขึ้นมานั้นมีการเปลี่ยน อยางไร ? มีอาการเกิดดับอยางไร ? เรามีหนาที่กําหนดรู ไมมีหนาที่ไป บังคับ เพราะมันเปนอนัตตาบังคับบัญชาไมได รูปก็เปนอนัตตา ไมใชสัตว บุคคล ตัวตน เรา เขา เวทนาก็เปนอนัตตา บังคับบัญชาไมได สัญญาก็ เปนอนัตตา ถาเรามีสติเขาไปกําหนดรู จะเห็นความเปนอนัตตาอยาง ชัดเจน เราบังคับมันไมได สัญญานั้นดับไปเหลือแตความรูสึกที่วางเปลา (อนัตตา) ไมมีตัวตน ไมมีเราไมมีเขา มีความรูสึกวาเบาสบาย เมื่อใดที่ เรามีอัตตาเกิดขึ้น แมความคิดนั้นจะไมมีรูปราง จับตองไมไดก็ตาม ก็รูสึกหนักขึ้นมาทันที
เราไปแบกไปยึด เอาสิ่งภายนอกวาเปนเรา คือมีอุปาทาน เรามี อุปาทานกับสิ่งไหนมาก เราก็ทุกขกับสิ่งนั้นมาก หนักกับสิ่งนั้นมาก แม สิ่งนั้นไมมีรูปรางก็ตาม เพราะมีตัวตนไปยึดวาสิ่งนั้นเปนของเรา เรามี สิ่งนั้น เรามีสิ่งนี้ เพราะไมเห็นความเปนอนัตตา ความวางเปลา ของสิ่งนั้น เมื่อเราไมเห็นความวางเปลา ความไรแกนสาร ของสภาวะอารมณที่เกิดขึ้น เราจึงเขาไปยึดมั่น ถาเมื่อไหรเรามีสติ เขาไปรูถึงสภาวะ ถึงอาการเกิดดับ ที่เกิดขึ้น การที่เราจะเขาไปยึดในอารมณเหลานั้นก็ไมเกิดขึ้น อาการที่เรา เขาไปยึดก็ดับลง เราก็อยูกับความวาง ความเบา เราก็จะพบกับความสุข
13


































































































   25   26   27   28   29