Page 31 - มรรควิถี
P. 31
มีรูปรางอยู ตรงนี้เปนการพิจารณาดูวา รูปนี้มีสาระเปนแกนสารหรือ เปนของวางเปลา ? เปนสิ่งนายึดถือหรือเปนสิ่งที่ไมควรยึดถือ ? เมื่อ พิจารณาอยางนี้แลว เราจะบอกตัวเองไดวา รูปกับนามก็ไมไดบอกวา เปนใคร ไมไดบอกวาเปนเรา ไมไดบอกวาเปนเขา เปนธรรมชาติอยางหนึ่ง ที่อาศัยกันเกิดขึ้นมา เกิดจากกรรมเกิดจากวิบาก แลวถาเราคิดอยาง บัญญัติตอไปอีกวา แลวทุกวันนี้ที่เรายึดติดยึดถือสิ่งตาง ๆ ที่ทําใหเรา ทุกขเรายึดอะไร ? ถาเราไมยึดรูปนามภายใน ก็ยึดรูปนามภายนอก ยึดรูปนามภายนอกวาเปนตัวเขา ยึดรูปนามภายในวาเปนตัวเราของเรา จึงทําใหเราทุกข จึงทําใหจิตกระสับกระสาย จึงทําใหจิตทุรนทุราย ไมสามารถหลุดพนจากความทุกขได
เม่ือเห็นนามเปนคนละสวนกับรูปแลว ลองพิจารณาดูนามหรือ ความรูสึกนั้นจะไมมีกิเลส ใหใชจิตที่ไมมีกิเลสนี้รับรูอารมณ รับรู ทุกอยางที่เกิดขึ้นกับเรา รับรูดวยจิตที่ไมมีตัวตน ใหรูตามความเปน จริงจะเห็นวา เกิดที่ไหนดับที่นั่น พระอัญญาโกณฑัญญะฟงธรรมครั้งแรก ก็เขาใจถึง “เหตุเกิดที่ไหนใหดับที่นั่น” จึงไดบรรลุมีดวงตาเห็นธรรม ทีนี้เรามาลองดูเวลาเราเห็นอะไรก็ตาม ใหเอาความรูสึกไปที่นั่นอยาดึงเขา มาที่ตัว อยางฟงเสียงใหจิตไปที่เสียง ลองดูวาเสียงนั้นวิ่งเขามาที่ใจหรือวา เกิดตรงนั้นดับตรงนั้น ถาเห็นวาเกิดตรงนั้นดับตรงนั้น รูสึกอยางไร ? จิตเรารูสึกอิสระ นั่นทําถูกตอง จิตไมเปนทุกข ไมยึดเอาอารมณนั้นมา เปนเราเปนเขา พราหมณคนหนึ่งเขาไปหาพระสารีบุตร พระสารีบุตรก็ทัก วา “พราหมณ วันนี้ทําไมหนาผองใสจัง” พราหมณก็บอกวา “เพิ่งไป เขาเฝาพระพุทธเจามา” พระพุทธเจาสอนอะไร ? พราหมณก็บอกวา ไปทูลกับพระพุทธเจาวา “ขาแตพระองคผูเจริญ ขาพระพุทธเจาเปนผูอาวุโส ผูเฒา รางกายเกิดการเปลี่ยนแปลงถูกบีบคั้น ทําใหเกิดความทุกขมีเวทนา ทําใหเกิดการกระสับกระสายไมเปนสุข” พระพุทธเจาทรงตอบวา
17