Page 32 - มรรควิถี
P. 32

18
“พราหมณ ที่พูดมานั้นถูกตองแลว” พราหมณก็เกิดความปติดีใจวาตน เขาใจในธรรมะแลว ก็เลยไมไดถามตอวาเพราะอะไรจึงกระสับกระสาย พระสารีบุตรถามวา ไดถามไหมวาเพราะเหตุใดจิตถึงกระสับกระสาย ? พราหมณบอกไมไดถาม พราหมณคนนั้นไดถามพระสารีบุตร พระสารีบุตร จึงเทศนใหฟงวา เหตุที่ทําใหจิตกระสับกระสาย เพราะวาคนเรามีความ ยึดมั่นถือมั่นในรูป มีความยึดมั่นถือมั่นในเวทนา มีความยึดมั่นถือมั่น ในสัญญา มีความยึดมั่นถือมั่นในสังขาร มีความยึดมั่นถือมั่นในวิญญาณ
ยึดมั่นถือมั่นในรูปเปนอยางไร ? ก็คือวาการยึดมั่นถือมั่นวารูปนี้ เปนของเรา มีความยึดมั่นถือมั่นวาเรามีรูป มีความยึดมั่นถือมั่นวามีรูป ในเรา มีความยึดมั่นถือมั่นวามีเวทนาเปนของเรา มีความยึดมั่นถือมั่น วาเรามีเวทนา และมีความยึดมั่นถือมั่นวาเวทนามีในเรา มีความยึดมั่นถือ มั่นวาสัญญาเปนของเรา มีความยึดมั่นถือมั่นวาเรามีสัญญา แลวก็มีความ ยึดมั่นถือมั่นวาสัญญามีในเรา มีความยึดมั่นถือมั่นสังขารวาเปนเรา มีความ ยึดมั่นถือมั่นวาเรามีสังขาร มีความยึดมั่นถือมั่นสังขารนั้นมีในเรา วิญญาณ ก็เหมือนกัน มีการยึดมั่นถือมั่นวาวิญญาณเปนของเรา มีความยึดมั่น ถือมั่นวาเรามีวิญญาณ แลวก็มีวิญญาณในเรา เพราะการยึดมั่นถือมั่น ในขันธ ๕ เหลานี้นี่เอง จึงทําใหบุคคลเกิดความรูสึกกระสับกระสาย วุนวาย ไมสงบ ไมพบกับความสุข เมื่อพิจารณาแยกรูปนามไดก็จะเห็น วารูปก็สักแตวารูป ไมใชเราไมใชเขา เหมือนวัตถุสิ่งหนึ่งที่ตั้งอยู เหมือน ทอนไม เหมือนกอนหินที่ตั้งอยู จิตหรือตัววิญญาณเองก็แยกเปนคนละ สวน ไมไดบอกวาเปนเรา เมื่อไมไดบอกวาเปนเรา นั่นคือความเปนอนัตตา เมื่อเห็นความเปนอนัตตา อะไรเกิดขึ้นกับจิต ? ลองพิจารณาดู ?
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือความเขาใจความยึดถือวา รูปนามอันนี้เปนของ เราถูกทําลาย ความยึดมั่นถือมั่นวาเปนตัวตนถูกทําลาย แลวเกิดอะไร ขึ้น ? จิตจะรูสึกโลง โปรง เบา นั่นคือการทําลายอัตตาหรืออุปาทาน


































































































   30   31   32   33   34