Page 196 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การพิจารณาสภาวธรรม
P. 196

504
แต่ถ้าเป็นตัวจิตที่ทาหน้าที่รู้วิถีจิต รู้แล้วดับไป ดับไปนั้น แต่ละขณะที่ดับไป เป็นวิถีเป็นขณะที่ ดับอย่างรวดเร็ว นั่นก็เป็นแค่จิต เป็นจิตดวงหนึ่งที่ทาหน้าที่รู้ ๆ แต่สิ่งที่ตั้งอยู่คือตัวสภาพจิต สภาพจิตที่ ผ่องใส ก็จะเป็นคนที่มีจิตใจที่ใส สาหรับคนนั้น ก็จะเป็นคนที่มีจิตที่ผ่องใส ใสขึ้นมา เพราะฉะนั้น ในการ สังเกตแบบนี้ ระหว่างบัญญัติกับปรมัตถ์ บางอย่างที่เราสื่อ สื่อถึงบัญญัติบางอย่าง ในลักษณะของความ เป็นบัญญัติ ลักษณะอย่างหนึ่งคือความเป็นปรมัตถ์ เป็นสภาวธรรมล้วน ๆ
แตถ่ า้ เราเขา้ ใจวา่ ยงิ่ ดไู ป ยงิ่ กา หนดไป จติ จะรสู้ กึ สงบขนึ้ มนั่ คงขนึ้ มคี วามผอ่ งใสขนึ้ มคี วามตงั้ มนั่ มากขึ้น เมื่อมีอารมณ์เกิดขึ้นมา เมื่อมีสภาวธรรม มีอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นมา อาการของอารมณ์ เหลา่ นนั้ เขา้ มากระทบจติ ทต่ี งั้ มนั่ จติ ทมี่ นั่ คงทตี่ งั้ มนั่ ไดห้ รอื เปลา่ อนั นคี้ อื สงั เกตอยา่ งหนง่ึ ถา้ พจิ ารณาอยา่ งนี้ ไม่ต้องไปแยกหลายขั้นตอน ไม่ต้องไปแยกหลายอย่างว่า ตัวรู้อยู่ตรงไหน ไม่เห็นตัวรู้ มีแต่ความรู้สึกที่ มั่นคง รับรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้น เกิดแล้วดับไป เกิดแล้วดับไป ยิ่งเห็นอาการเกิดดับ ของอารมณ์ที่ปรากฏเกิด ขึ้นมา จิตยิ่งมีความผ่องใส ยิ่งมั่นคงขึ้นอีก ถ้าเป็นแบบนี้ไม่ต้องไปหาตัวรู้นะ ไม่ต้องไปหาตัวรู้
เพราะขณะนั้น สภาวะตัวไหนชัดรู้ตรงนั้นไป รู้อาการเกิดดับนั้นจนหมดไปก่อน ตามรู้อาการเกิด ดบั ทกี่ า ลงั ปรากฏเกดิ ขนึ้ อยเู่ ฉพาะหนา้ ไป จนอาการเกดิ ดบั นนั้ สนิ้ สดุ หรอื หมดไป ถา้ อาการเกดิ ดบั มคี วาม ชดั เจน อยา่ งไร...โยคกี จ็ ะตอ้ งรสู้ กึ วา่ เวลาอาการเกดิ ดบั นนั้ หมด มคี วามเดด็ ขาดไปแตล่ ะขณะ เดด็ ขาดไป ดับไป ก็จะรู้สึกได้ว่า ความรู้สึกดับไปด้วยไหม หรือจิตที่ทาหน้าที่รู้ดับไปด้วยไหม ณ ขณะนั้น
แตถ่ า้ จะใหล้ ะเอยี ดขนึ้ สงั เกตใหช้ ดั ขนึ้ อกี กค็ อื วา่ ขณะทรี่ สู้ กึ ถงึ อาการเกดิ ดบั ไมม่ ผี ดู้ ู มแี ตอ่ าการ เกิดดับ ที่ปรากฏชัดขึ้นมาในความรู้สึก ผุดขึ้นมาแล้วก็ดับเด็ดขาดไป ผุดขึ้นมา ชัดขึ้นมา แล้วก็ดับเด็ด ขาดไป ถ้าสังเกตให้ละเอียดว่า สังเกตตอนหนึ่งว่า เวลาอาการเกิดดับที่ผุดขึ้นมา ความรู้สึก หรือจิตผุดขึ้น มาพร้อมกับอาการหรือเปล่า อยู่ที่เดียวกับอาการ เกิดพร้อมกับอาการหรือเปล่า อันนี้คือจุดที่ต้องสังเกต อย่างหนึ่ง
เพราะอะไร เพราะว่าขณะที่รู้สึกชัดถึงอาการเกิดดับ ที่ผุดขึ้นมาแล้วดับไป ดับชัดเจน แล้วไม่เห็น ผู้ดู ไม่มีผู้ดู แล้วรู้สึกแต่อาการผุดขึ้นมาแล้วดับไป ผุดขึ้นมาแล้วดับไป อันนี้ก็ต้องสังเกตว่า เป็นเพราะ ความรู้สึก หรือจิตเกิดพร้อมกับอาการ เกิดอยู่ที่เดียวกับอาการ ดับพร้อมกับอาการหรือเปล่า อันนี้ คือเป็น สิ่งที่โยคีจะต้องพิจารณา ต้องสังเกต ทาไมถึงเป็นแบบนั้น นี่แหละ ทาไมถึงเป็นแบบนั้น ถ้าอยากรู้ ก็ต้อง สงั เกตดวู า่ เพราะอะไร จติ เปน็ อยา่ งไร สตมิ กี า ลงั มากแคไ่ หน สมาธมิ กี า ลงั มากแคไ่ หน อาการถงึ เปน็ แบบนนั้
การที่จะเห็นอย่างนั้นได้ ปัญญาการสังเกตการใส่ใจ ก็ต้องแยบคายเช่นเดียวกัน นี่คือการกาหนดรู้ สภาวะทเี่ กดิ ขนึ้ แตถ่ า้ ใครรสู้ กึ วา่ อาการทพี่ ดู มาไมใ่ ชส่ ภาวะของเรา ไมใ่ ชส่ ภาวธรรมของเรา ทกี่ า ลงั ปรากฏ เกิดขึ้นอยู่ ณ ขณะนี้ สภาวธรรมของเรานั้นเปลี่ยนไป มีแต่อาการไหว ๆ มีอาการกระเพื่อมไหว มีอาการ พลิ้วหาย กระเพื่อมไหวไป นั่นคืองานที่เราต้องทา งานที่เราต้องทา ทาแบบเดียวกันคืออะไร คือมีสติเข้าไป กาหนดรู้อาการกระเพื่อมไหว อาการพลิ้วไหวนั่นแหละ มีความเปลี่ยนแปลง มีการเกิดดับไปอย่างไร


































































































   194   195   196   197   198