Page 14 - ๕๐ ปี ๑๐๐ สัจธรรม-การเล่าสภาวะ
P. 14
766
เวลาเราเดินจงกรม ก้าวเท้าซ้ายเท้าขวา เมื่อกี้เกิดดับแบบนี้ ดูซิต่อไปเขาเกิดดับยังไง อันนี้ไม่ผิด เพราะนั่นเป็นตัวกระตุ้นให้เราสังเกตมากขึ้น แต่ถ้าไม่มี(ตัวเตือน) เดินเงียบกริบเลย พอเดินไป...ก็ เรื่อย ๆ ๆ ถ้าไม่มีตัวเตือนแบบนี้ ใจลอย ๆ เบา ๆ เงียบ ๆ ไป สังเกตเลยว่า ขณะที่มีตัวสติคอยกากับ กับที่เรื่อย ๆ ไป อันไหนจิตตื่นตัวกว่ากัน ? อันไหนสติดีกว่ากัน ? แค่นี้เองที่เรากลับมาพิจารณา อ๋อ! ถ้า เป็นอย่างนี้ สติดีกว่า ตื่นตัวกว่า ถ้าตื่นตัวแล้วไม่ต้องห่วงเลย ไม่ต้องกลัวผิด สติสัมปชัญญะดีขึ้น ไม่มี คาว่าผิด แล้วให้เรารู้ชัด แล้วไม่ประกอบด้วยตัวตน ไม่ประกอบด้วยกิเลส อันนั้นไม่ต้องกลัวผิดเลย กาหนดต่อเนื่องได้เลยจนจบอาการ
คอร์สเราพิเศษหลาย ๆ อย่างนะ ยืดหยุ่นบ้างเข้มงวดบ้างเป็นบางครั้ง อยากให้เน้นใส่ใจ แต่โดย รวมดูแล้วรู้สึกดี อาจารย์ไม่ได้ดูแค่อาการของรูป การเคลื่อนไหวของโยคี หรือนั่งสงบของโยคี อาจารย์จะ ดูถึงสภาพจิตของโยคีที่เป็นอยู่ว่าสภาพจิตเขาเป็นอย่างไร เวลาเขาเคลื่อนไหวสภาพจิตเขาเป็นอย่างไร เวลาเขานั่งนิ่ง ๆ สภาพจิตเขาเป็นอย่างไร สติอยู่กับปัจจุบันมากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้น เวลาอาจารย์ เดินผ่าน อาจารย์จะถามนู่นนิดนี่หน่อย สภาวะแบบนี้โยคีอยากเข้าใจก็จะได้อธิบายให้ฟัง อย่างที่บอกแล้ว คือ อยากให้รู้ชัดจริง ๆ ในสภาวะที่เกิดขึ้น อยากให้รู้ความดีที่กาลังเกิดขึ้นที่กาลังเป็นอยู่กับเรา ไม่ใช่แค่ กังวลว่าได้หรือไม่ได้ ถูกหรือผิด ไม่ใช่แค่นั้น! ให้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร
ถ้าให้อาจารย์เลือกเอาธรรมะตรงนั้นตรงนี้มาพูด พอมาเจอโยคีปุ๊บ มันก็จะเปลี่ยนใหม่...เหมือน เดิม! หลาย ๆ อย่างก็รู้ ๆ กันแล้ว ถ้ารู้กันเยอะแล้ว ต่อไปก็ปฏิบัติอย่างเดียว! เพราะฉะนั้น วันนี้คิดว่า คงจะไดค้ วามรคู้ วามเขา้ ใจในการปฏบิ ตั ธิ รรม การพจิ ารณาสภาวธรรมกนั พอสมควร การแสดงธรรมชว่ งนี้ ก็ขอหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน ต่อไปเราจะได้นั่งกรรมฐานต่ออีกสัก ๑๕ นาที เพื่อที่จะได้สานต่อจาก สภาวธรรมที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะแผ่เมตตา อันที่จริง ๑๕ นาทีตรงนี้ อยากจะนั่งเงียบ ๆ หรืออาจารย์จะพูด นานิดหนึ่ง ให้เราพิจารณาสภาวธรรมของเราเอง
การเริ่มต้นทุกครั้ง ให้มาดูสภาพจิตเราก่อนเสมอ ขณะที่ฟังธรรมไป/หลังจากฟังธรรมแล้ว จุด ไหนบ้างที่เป็นสภาวะของเรา ให้นิ่งแล้วกลับมาดูสภาพจิตตรงนี้ สภาวธรรมที่เกิดขึ้นต่อหน้าเราตอนนี้เป็น อยา่ งไร สภาพจติ ตอนนเี้ ปน็ อยา่ งไร บรรยากาศรอบตวั ตอนนเี้ ปน็ อยา่ งไร ถา้ บรรยากาศรอบตวั ขณะนรี้ สู้ กึ มีความสงบ มีความผ่องใส หรือมีความสว่าง... ถ้าเป็นความสว่าง ก็ให้ดูภายในความรู้สึกที่สว่างนั้น นิ่ง แล้วสังเกตดูว่า ในความรู้สึกที่สว่างมีอาการอะไรปรากฏขึ้นมา แล้วเกิดดับอย่างไร การที่ถามอย่างนี้ ไม่ใช่ แค่ดูว่าเขาเกิดดับอย่างไรแล้วผ่านไป แต่นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการสังเกต
เมอื่ นงิ่ แลว้ สงั เกตเหน็ วา่ มอี าการเกดิ ดบั อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ปรากฏขนึ้ มา สงิ่ ทตี่ อ้ งทา กค็ อื ใหเ้ ขา้ ไป กาหนดรู้ให้ชัด ตามรู้ต่อไปจนอาการนั้นสิ้นสุดลง ในขณะที่เข้าไปตามกาหนดรู้จนอาการนั้นสิ้นสุดลง เราก็ ตอ้ งพจิ ารณาวา่ อาการเกดิ ดบั นนั้ เปลยี่ นไปอยา่ งไร ใหท้ า แบบนเี้ สมอ ไมว่ า่ จะเปน็ อาการของกาย เปน็ เวทนา เป็นจิต เป็นสภาวธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งปรากฏขึ้นมา เป็นเสียง เป็นความคิด เป็นความเย็น เป็นความ ร้อน เป็นอาการเคร่งตึง เป็นสี เป็นแสงที่ปรากฏขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นความหนักหรือเบา ก็ให้เข้าไปรู้ว่าเขามี