Page 6 - การเสวนามโนทัศน์ที่คาดเคลื่อนในการวิจัย
P. 6
์
รศ.ดร.ปกรณ ประจัญบาน :
ี่
็
ึ
็
่
ื
ี่
็
กล่าวถง ความเปนมาทส าเรจไปแล้ว คือ ไปเอางานวิจัยทส าเรจไปแล้วมาเขียนเค้ารางวิจัย หรอไป
ึ
่
ี
ั
็
เอามาเปนปญหาของตัวเอง/มันจงไม่มน ้าหนักและไม่นาเชอถอ ทส าคัญคือไม่สอดคล้องกับความต้องการ
่
ี
ื
ื
่
ศกษางานวิจัย
ึ
ื
์
้
รศ.ดร.ปกรณ ประจันบาน,รศ.ดร.สมบัติ ทายเรอค า :
ิ
่
ิ
ี
สมมุตฐาน คือ การสรปผลการวจัยล่วงหน้า จากองค์ความรทเรามอยู สมมุตฐานไม่จ าเปนต้องตั้ง
้
ิ
ู
ี
ุ
่
็
จ านวนข้อให้เท่ากับวัตถุประสงค์
ิ
การตั้งสมมตฐาน
ิ
ี
1. การตั้งสมมตต้องตั้งให้มหลักฐาน มทมาทไป
ี
ี
ี
่
่
ิ
ู
2. การตั้งสมมตฐานไม่สามารถพิสจนได้จากสถตพื้นฐาน
ิ
ิ
์
ิ
็
ี
ิ
3. การตั้งสมมตฐานไม่จ าเปนต้องเท่ากับวัตถุประสงค์และตั้งอย่างมทศทาง
ื
์
รศ.ดร.กิติพงษ ลอนาม :
Research and Development คือการวิจัยและการพัฒนา
ขอน าเสนอ 4 ขั้นตอน แบบย่อๆ คือ
ึ
ุ
ื
1. R1 ก็คือ Research การศกษาสภาพปญหาความต้องการในการจะพัฒนา หรอปรบปรงอะไรก็ตาม
ั
ั
็
2. พัฒนาโมเดลหรอพัฒนานวัตกรรม เปนการพัฒนายกรางขึ้นมาเปนโมเดล
็
่
ื
3. การทดลอง
ิ
์
4. การประเมน ประเมนการใช้ในลักษณะของความสมบูรณเตมเต็ม แต่ไม่ควรล้วงลูกในเชง
ิ
ิ
ิ
้
โครงสรางของโมเดล
ความคลาดเคลอนทเกดขึ้นนั้น นักวจัยสมัยน้ขาดการค้นคว้า การเกลาไม่ถูกทครน จับประเด็นไม่
ิ
่
ี
ี
ื
ี่
ั
่
ิ
ื่
ถูกว่าเราจะวิจัยอะไร เรองอะไร
ิ
ี
ส่งส าคัญทสดของการวจัย ก็คือปญหาการวจัย ถ้าปญหาวจัยเราไม่ชัดเจน เราก็จะพยายามมองหาแต ่
ิ
ั
่
ิ
ั
ิ
ุ
ั
ปญหาไม่ไปไหน
ั
ิ
ื
ี
็
็
ี
ิ
ิ
นักวจัยสวนใหญไปมองทสถตเปนตัวตั้ง ค่อยไปหาปญหาเปนตัวตาม หรอเอาระเบยบวธเปนตัวตั้ง
็
่
่
ิ
ี
่
ั
ท าให้เกดความล้มเหลวตั้งแตต้น โดยควรเน้นทปญหาเปนตัวตั้งมากกว่า
ิ
่
ี
่
็
์
รศ.ดร.ปกรณ ประจัญบาน :
ึ
่
มผู้วิจัยหลายคนทเปนบุคลากรทางการศกษา โดยเฉพาะต าแหนงผู้บรหารสถานศกษา มักเอา
ี
ิ
ี่
็
ึ
่
ี
งานวจัยทประสบความส าเรจแล้วมา แตพอไปดทความเปนมานั้นมักจะกล่าวถงแตปญหาทเกดขึ้น ทั้งทจรง
่
ี
ิ
ิ
ี
่
่
ิ
่
ู
่
ั
็
็
ี
ึ
็
ึ
ิ
์
แล้วการรางงานวิจัยเกดความส าเรจมาแล้ว จงเกดการไม่สนองต่อเจตนารมณของงานการวิจัยและการพัฒนา
่
ิ