Page 54 - บทที่ ๑
P. 54
๔๑
โพธิสัตว์, กับพระโพธิสัตว์ มหาสัตว์ อื่นอีกมากมายและ ท้าวศักระจอมเทพ , ท้าวสหัมบดีพรหม กับ
เทพบุตรอื่นๆเป็นอันมาก นับจำนวนแสนนยุตะ (๑นยุต๑๐๐,๐๐๐โกฏิ)
ณ สถานที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะพระศาริบุตรผู้มีอายุว่า ดูก่อนศาริบุตร ในทิศภาค
เบื้องตะวันตก นับแต่พุทธเกษตรนี้ไปแสนโกฏิพุทธเกษตร มีโลกธาตุหนึ่ง นามว่า สุขาวดี อันเป็นที่
ประทับอยู่แห่งพระอมิตาภะตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ยังทรงพระชนม์และแสดงธรรมอยู่ในกาล
บัดนี้ ศาริบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เหตุดังฤๅโลกธาตุโลกธาตุนั้นจึงได้นามว่าสุขาวดี. ศาริ
บุตรเอย สัตว์ทั้งหลายในโลกธาตุนั้น ไม่มีทุกข์กายทุกข์ใจเลย มีแต่เหตุแห่งสุขอันหาประมาณมิได้อย่าง
เดียว เหตุดังนั้น โลกธาตุนั้นจึงได้นามว่าสุขาวดี.
ดูก่อนศาริบุตร อนึ่ง สุขาวดีโลกธาตุประดับประดาแวดล้อมไปด้วยกำแพง ๗ ชั้น ต้นตาล ๗ แถว
และข่ายกะดึงทั้งหลายงดงามน่าดูด้วยรัตนะ ๔ ประการคือ ทอง เงิน ไพฑูรย์ ผลึก ศาริบุตรเอย พุทธ
เกษตรนั้นประดับด้วยองคคุณประจำพุทธเกษตรเห็นปานนี้.
ดูก่อนศาริบุตร อนึ่ง สุขาวดีโลกธาตุมีสระโบกขรณีทั้งหลายอันแล้วด้วยรัตนะ ๗ ประการ คือ ทอง เงิน
ไพฑูรย์ ผลึก ทับทิม มรกต และบุศราคัม เปี่ยมด้วยอัษฎางคิกวารี (น้ำประกอบด้วยองค์แปด) มีท่าน้ำอัน
เรียบราบ พอที่กา(จะก้มลง)ดื่มได้ รายระยับไปด้วย ทรายทองและมีบันได ๔ บันไดโดยรอบทั้ง ๔ ทิศ
งดงามน่าดูด้วยรัตนะ ๔ ประการ คือทอง เงิน ไพฑูรย์ ผลึก มีรัตนพฤกษ์อันงดงามน่าดูด้วยรัตนะ ๗
ประการ คือ ทอง เงิน ไพฑูรย์ ผลึก ทับทิบ มรกตและบุศราคัม ขึ้นอยู่รายรอบสระโบกขรณีเหล่านั้น มี
ดอกประทุมอันมีธรรมชาติ สี แสง ความน่าดู เขียว เหลือง แดง ขาวและสลับสีใหญ่ประมาณเท่ากง
เกวียน. ศาริบุตรเอย พุทธเกษตรนั้นประดับด้วยองคคุณประจำพุทธเกษตรเห็นปานนี้.
ดูก่อนศาริบุตร อนึ่ง ในพุทธเกษตรนั้นมีทิพยดนตรีอันบรรเลงอยู่เป็นนิตย์ และมหาปฐพีก็มีสีเพียง
ดังทองน่ารื่นรมย์ มีฝนดอกมณฑารพอันเป็นทิพย์ตกคืนละ ๓ ครั้ง วันละ ๓ ครั้ง สัตว์ที่เกิดในพุทธเกษตร
นั้น ย่อมไปสู่โลกธาตุอื่น ถวายบังคมพระพุทธเจ้าแสนโกฏิพระองค์ชั่วเวลาก่อนอาหารคราวหนึ่ง ใช้ฝน
ดอกไม้แสนโกฏิเกลี่ยลงบูชาพระตถาคตเจ้าแต่ละพระองค์ แล้วกลับมาสู่โลกธาตุนั้นแลอีก เพื่อพักผ่อนใน
กลางวัน. ศาริบุตรเอย พุทธเกษตรนั้นประดับด้วยองคคุณประจำพุทธเกษตรเห็นปานนี้.
ดูก่อนศาริบุตร อนึ่ง ในพุทธเกษตรนั้น มีหงส์ นกกะเรียน นกยูง ประชุมกันขับประสานเสียงของ
ตน คืนละ ๓ ครั้ง วันละ ๓ ครั้ง เสียงของปวงนกที่ประสานกันนั้น ย่อมเปล่งประกาศอินทรีย์(ธรรมอัน
เป็นใหญ่) พละ (ธรรมเป็นกำลัง)และโพชฌงค์ (ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้) มนุษย์ทั้งหลายในพุทธ
เกษตรนั้น ฟังเสียงนั้นแล้วย่อมเกิดมนสิการในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ศาริบุตร เธอจะสำคัญ
ความข้อนั้นว่า สัตว์เหล่านั้นเป็นผู้เกิดในกำเนิดดิรัจฉานกระนั้นหรือ เธอไม่พึงเห็นอย่างนั้นเลย ข้อนั้น
เพราะเหตุดังฤๅ ศาริบุตร แม้แต่ชื่อแห่งนรก กำเนิดดิรัจฉานและยมโลก ก็ไม่มีในพุทธเกษตรนั้น หมู่นก