Page 55 - บทที่ ๑
P. 55

๔๒



               เหล่านั้น พระอมิตาภะยุคถาคตเจ้าทรงนิรมิตขึ้นให้เปล่งเสียงประกาศพระธรรมต่างหาก ศาริบุตร พุทธ

               เกษตรนั้นประดับด้วยองคคุณประจำพุทธเกษตรเห็นปานนี้.

                       ดูก่อนศาริบุตร อนึ่ง แถวต้นตาลและข่ายกระดึงทั้งหลายในพุทธเกษตรนั้น เมื่อลมโชยมากระทบ

               ย่อมเปล่งเสียงไพเราะจับใจดุจเสียงทิพยดนตรีมีเครื่องประกอบแสงโกฏิ อันอารยชนบรรเลงแล้ว. มนุษย์

               ในพุทธเกษตรนั้น สดับเสียงนั้นแล้วย่อมพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังหานุสสติตั้งอยู่ในกาย. ศาริบุตร

               เอย  พุทธเกษตรนั้นประดับด้วยองคคุณประจำพุทธเกษตรเห็นปานนี้

                       ดูก่อนศาริบุตร  เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน  เหตุดังฤๅ พระตถาคตเจ้านั้นจึงได้พระนามว่า

               อมิตายุ. ศาริบุตรเอย พระตถาคตเจ้าและมนุษย์เหล่านั้น มีประมาณแห่งอายุอันกำหนดนับมิได้. เหตุ

               ดังนั้น พระองค์จึงได้พระนามว่า อมิตายุ. อนึ่ง พระตถาคตเจ้านั้นตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณมาแล้ว

               ได้ ๑๐ กัลป์
                       ดูก่อนศาริบุตร  เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน  เหตุดังฤๅ พระตถาคตเจ้านั้นจึงได้พระนามว่า


               อมิตาภะ รัศมีแห่งพระตถาคตเจ้านั้น (สว่างไป) ไม่ติดขัดในพุทธเกษตรทั้งปวง. เหตุดังนั้น พระองค์จึงได้
               พระนามว่า อมิตาภะ อนึ่ง พระอรหันตสาวกสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ของพระตถาคตเจ้านั้น หาประมาณมิได้ ไม่

               เป็นการง่ายที่จะกล่าวประมาณ ศาริบุตรเอย  พุทธเกษตรนั้นประดับด้วยองคคุณประจำพุทธเกษตรเห็น

               ปานนี้.

                       ดูก่อนศาริบุตร  สัตว์ที่เกิดขึ้นในพุทธเกษตรของพระอมิตายุตถาคตเจ้า เป็นพระโพธิสัตว์ผู้บริสุทธิ์

               ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกเกี่ยวเนื่องอยู่เพียงชาติเดียว การนับประมาณพระโพธิสัตว์เหล่านั้น มิใช่ทำได้

               โดยง่าย นอกจากจะนับว่า "อประไมย" (ประมาณไม่ได้) "องสไขย" (นับไม่ได้) อนึ่ง ศาริบุตร สัตว์ทั้งหลาย

               ควรตั้งประณิธาน(ที่จะไปเกิด) ในพุทธเกษตรนั้น. ข้อนั้นเพราะเหตุไร  เพราะว่าที่ไหนเล่า การได้อยู่

               ร่วมกันสัตบุรุษเห็นปานนั้นจึงจะมีได้ (เหมือนในสุขาวดีนี้) ศาริบุตร  สัตว์ทั้งหลาย ย่อมบังเกิดในพุทธ

               เกษตรของพระอมิตายุตถาคตเจ้า มิใช่ด้วยกุศลมูลเพียงเล็กน้อย  ศาริบุตร  กุลบุตรหรือกุลธิดาไรๆ จักได้

               สดับพระนามของพระอมิตายุคถาคตเจ้านั้น ครั้นสดับแล้วจักมนสิการ จักมีจิตต์ไม่ซัดส่าย มนสิการตลอด

               ราตรีหนึ่ง หรือ ๒ ราตรี หรือ ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ราตรี เมื่อกุลบุตรหรือกุลธิดานั้นจักสิ้นชีพ พระอมิตายุค

               ถาคตเจ้านั้น อันสาวกสงฆ์แวดล้อมมีหมู่พระโพธิสัตว์ตามหลัง จักปรากฏเบื้องหน้าเขาผู้กำลังสิ้นชีพ เขา

               ย่อม

               มีจิตสงบสิ้นชีพไป ครั้นสิ้นชีพแล้วก็จะไปเกิดในสุขาวดีโลกธาตุอันเป็นพุทธเกษตรของพระอมิตายุคถาคต

               เจ้านั้นแล. ศาริบุตรเอย เหตุดังนั้นแหละ เราเห็นอำนาจประโยชน์นี้ จึงกล่าวว่า กุลบุตรหรือกุลธิดาพึงตั้ง

               จิตตประณิธาน (ที่จะไปเกิด) ในพุทธเกษตรนั้นโดยเคารพ

                  ดูก่อนศาริบุตร  เราประกาศเรื่องโลกธาตุนั้นอยู่ในบัดนี้ฉันใด พระตถาคตเจ้าทั้งหลายในทิศบูรพาเป้น
               ต้นว่า พระอักโษภยตถาคต พระเมรุธวัชตถาคต พระมหาเมรุธวัชตถาคต พระเมรุประภาสตถาคต พระ
   50   51   52   53   54   55   56   57   58   59   60