Page 15 - ประวัติศาสตร์จานเดียวพม่า
P. 15
ประวัติศาสตร์จานเดียว
เป็นริ้วๆ แล้ว
พระเจ้าอนุรุทธนั้นแม้จะเชี่ยวชาญการศึก แต่พระองค์ก็เลื่อมใส
ศรัทธาในพระพุทธศาสนามิใช่น้อย พระองค์แอนตี้เรื่องการนับถือผีสางของ
ชาวบ้านมากทีเดียว และยังไม่ทรงปลื้มกับพุทธนิกายมหายานสักเท่าไหร่ แต่
ด้วยพระราชอำานาจทำาให้พระองค์สามารถลดความเชื่องมงายของชาวบ้าน
ลงได้พอสมควร และยังนำาเอาพุทธแบบเถรวาทเข้ามาในพม่าจนหยั่งรากลึก
จนทำาให้พุทธศาสนากลายเป็นศาสนาประจำาชาติของพม่าในที่สุด
ในตอนนั้นพระองค์เริ่มเหล่มาทางมอญแล้ว พระองค์ทรงทราบดี
ว่าบัดนี้มอญเหลือแต่ชื่อ จึงส่งราชทูตมายังเมืองสะเทิมเพื่อขอพระไตรปิฎก
จากพระเจ้ามนูหะ ตรงนี้อาจพิจารณาได้สองทางว่าพระองค์อาจจะตั้งใจมา
ขอดีๆ เพราะความศรัทธา หรือมาขอแบบหยั่งเชิงทำานองข่มนิดๆ ถ้ามอญ
ยอมยกให้ก็เท่ากับว่ายอมพม่าไปในที หากไม่ยอมยกให้ก็เป็นการดูหมิ่น ยัง
ไงก็มีแต่เสียกับเสีย ขึ้นอยู่ที่ว่ามอญจะเลือกทางใด เหมือนมัดมือชก
ขอนอกเรื่องสักนิดหนึ่ง เหตุการณ์ที่พระเจ้าอนุรุทธส่งทูตมาขอ
พระไตรปิฎกจากมอญนี้ ทำาให้นึกถึงคราวที่พระเจ้าบุเรงนองส่งทูตมาขอช้าง
เผือกจากสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ถ้ามองแง่ดีก็คือพระเจ้าบุเรงนองอุตส่าห์
มาขอช้างเผือกจากเราเพื่อไปเสริมพระบารมี ดูเหมือนจะอ่อนน้อมในที แต่
ลึกๆ กลับแฝงอุบายแยบคาย ก็ถ้าฝ่ายไทยยอมยกช้างเผือกให้ก็เท่ากับว่าย
อมพม่า ถ้าไม่ยอม พม่าก็หาเรื่องมารบจนได้ ข้างไทยเราเองก็ยังแตกเป็น
สองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเสนอว่าก็ยกให้เขาไปเถอะ เรามีตั้ง ๗ ช้าง ให้ไป ๒ ช้างคง
ไม่เท่าไหร่ ถือเสียว่าผู้ใหญ่ให้ผู้น้อย มองแง่ดีไปเสีย อีกฝ่ายก็เสนอว่ายอมไม่
ได้ ขืนยอมยกให้ก็เท่ากับว่ายอมแพ้พม่า สุดท้ายก็เลยรบกันจริงๆ จนเราเอง
ที่เป็นฝ่ายขอตั้งโต๊ะเจรจาและต้องเสียช้างเผือกให้ไปเพิ่มเป็น ๔ ช้าง ว่ากัน
ว่าเพราะเราแบ่งเป็นสองความคิดนี่ล่ะ กรุงศรีฯ ก็เลยแตก เพราะฝ่ายที่บอก
ว่าให้ยอมก็มองว่า เห็นไหม เชื่อกันตั้งแต่แรกก็จบเรื่อง
๗