Page 233 - ประวัติศาสตร์จานเดียวพม่า
P. 233
ประวัติศาสตร์จานเดียว
เนื่อง ซึ่งตอนนี้เธอดำารงตำาแหน่งหัวหน้าพรรคแล้ว เธอถูกขัดขวางจากเจ้า
หน้าที่รัฐและกองทัพมิให้เดินทางออกนอกกรุงย่างกุ้ง ในบางสถานที่พบ
ว่ามีกลุ่มผู้ประท้วงและต่อต้านเธอรวมกลุ่มกัน รัฐบาลจึงอ้างเหตุผลเรื่อง
ความปลอดภัยห้ามมิให้เธอเดินทาง ซึ่งว่ากันว่ากลุ่มคนเหล่านั้นก็คือคนของ
รัฐบาลเอง
สองปีต่อมาเธอได้ทราบข่าวร้ายว่า ดร.เอริส ล้มป่วยด้วยโรคมะเร็ง
ต่อมลูกหมาก ดร.เอริส พยายามขอวีซ่าเพื่อเดินทางเข้าพม่าเพื่อพบภรรยา
เป็นครั้งสุดท้ายแต่กลับถูกปฏิเสธ เพราะรัฐบาลพม่าต้องการให้ซูจีเป็นฝ่าย
เดินทางออกไปพบเขาเองมากกว่า แต่เธอก็รู้ดีว่าเมื่อใดที่เธอก้าวออกนอก
ประเทศ เธอจะไม่มีวันได้กลับมาอีกเลย ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็ยังแข็งแกร่งและ
เข้าใจซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี จนกระทั่งเดือนมีนาคมปีเดียวกันนั้นเอง
ดร.เอริส ก็เสียชีวิตที่ประเทศอังกฤษ
การสูญเสียสามีอาจทำาให้เธอแทบหัวใจสลาย แต่ภาพที่ปรากฏกลับ
ยังเป็นซูจีคนเดิมที่เดินหน้าทำางานต่อ เธอไม่เคยแสดงปฏิกิริยาหรืออาการ
ท้อแท้ให้ใครเห็น เธอยังคงเดินสายพบปะผู้คนและให้สัมภาณ์กับสื่อมวลชน
จากต่างประเทศเช่นเดิม โดยเชื่อว่าพลังของสื่อเหล่านี้จะช่วยกดดันให้
รัฐบาลทหารอ่อนข้อลงมาบ้าง
แต่ความจริงแล้วสถานการณ์ในพม่ายังไม่ได้เปลี่ยนแปลง กองทัพ
ยังคงใช้อำานาจควบคุมทุกอย่างเช่นเดิม สมาชิกพรรคและประชาชนยังถูก
จับกุมอยู่อย่างต่อเนื่อง วันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ ซูจีและคณะออก
เดินทางไปยังเมืองสาละที่อยู่ทางตอนใต้ของนครย่างกุ้ง ขบวนรถของเธอถูก
สกัดกั้นไม่ให้เดินทางต่อ ซูจีตัดสินใจประท้วงด้วยการขังตัวเองอยู่ในรถนาน
ถึง ๙ วัน ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วโลก แม้ว่ารัฐบาลทหารจะแถลงว่าเธอเพียง
แค่เดินทางไปพักผ่อนและยังได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แถมยังแสดงภาพ
ทีมงานของเธอแบกข้าวของราวกับกลับมาจากช้อปปิ้ง ทว่าภาพที่ยืนยัน
๒๐๙